29 พฤศจิกายน 2555

การมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรที่ตนเองทำงาน

การมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร ที่ตนเองทำงานอยู่ ในความทัศนะของปอย
ปอยคิดว่า มีความจำเป็นมากถึงมากที่สุด
เพราะหาก พนักงานหรือคนในองค์กรขาดความสมาน สามัคคี ขาดความรับผิดชอบ แตกกีกแตกเหล่า แบ่งพรรคแบ่งพวก มีอคติต่อกัน ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การทำงานที่อยู่ ท่ามกลางความไม่เข้าใจ ปราศจากความรัก แท้ ที่ให้อภัยได้ทุกอย่างจริงๆ มีใจรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง คิดว่าผู้อื่นดีกว่าตนเสมอ ความจงรักภักดีในองค์กร จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคนในองค์ แสดงออกให้ทุกคนในองค์กรสัมผัสได้ถึง คุณธรรม จริยธรรม ยุติธรรม เที่ยงธรรม ชอบธรรม เมตตาธรรม  องค์กรจะสั่นคลอนถ้าเรามองคนอื่นด้วยใจ ริษยา เห็นแก่ตัว โลภมาก บ้าอำนาจ ยโส หยิ่ง ผยอง ทำตัวชั่วช้าสามาน ตามเนื้อหนัง ก็จะมีแต่ย่อยยับไปตามๆ กัน

ข้อความสำคัญจากพระเจ้า และ แผนการชีวิตที่พระองค์ทรงนำ


น้องบอย เด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้ม และมีอัธยาศรัย ไมตรี ที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ที่พระเจ้าทรงนำให้ได้มาพบ กับ 
พี่ปอย ผู้หญิง ที่ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มที่สดใส และมีอัธยาศรัยไมตรี ดี  เหมือนจะไม่ต่างกับบอย ผู้ที่อยู่อย่างสงบกับทุกคน พูดได้เต็มปาก ว่า บอยอยู่อย่างสงบกับทุกคนจริงๆ  เพราะ น้องบอย เขาเป็นใบ้ เราจะสื่อสารกันได้ก็ต้องใช้สีหน้าและแววตา ซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจเท่านั้น 

ชีวิต น้องบอย กับ พี่ปอย แตกต่างกันที่ น้องบอยอยู่อย่างสงบกับทุกคน แต่ พี่ปอย ชอบพูดพล่อย น้ำเสียงกระด้าง เสียงดัง ไม่ฟังใคร เป็นคนที่ ช้าในการฟัง ไว ในการพูด ไว ในการโกรธ โมโหร้าย ช่างประชดประชันและมีทิฐิ ชอบใช้ปากของตนเอง มุสา สอพลอ ตอแหล ตลบแตลง ปากที่ใช้วิทยายุทธ์ทุกศาสตร์ทั้งฝ่ายธรรมะ และ ฝ่ายอธรรม ปอยใช้ปาก สำหรับทุกสิ่งที่เรียกว่า ขาว และ ดำ งานจึงเข้า พี่ปอยประจำ สร้างความร้าวฉานและบั่นทอนจิตใจ ผู้อื่น ทำตนเป็นคนหน้าซื่อใจคด ตอแหลอยู่ในใจ

แต่ในวันนั้น วันที่พี่ปอยตัดสินใจทิ้งงานประจำ ทิ้งหน้าที่การงาน ทิ้งภาระหนัก ทิ้งปัญหาทั้งหมดที่แสนหนักอึ้ง จากการเป็นคนอธรรม กลับใจใหม่ เข้าค่ายครอบครัว ของ คริสตจักรสามัคคีธรรมเชียงใหม่ มันเป็นจุดเริ่มต้น เป็นหมุดแรกที่ถูกปักลง การเดินทางไปกับพระเจ้า โดยให้พระเจ้าทรงนำชีวิต แทนที่จากเดิม พี่ปอยชอบวางแผน วางชีวิต วางเป้าหมายตัวเองมาโดยตลอด รับรู้ได้ถึงความแตกต่างระหว่าง การพึ่งพาความรอบรู้ของตน กับ การพึ่งพาพระเจ้านั้นแตกต่างกัน ที่ความเหน็ดเหนื่อย พึ่งพาตนเอง ก็เหนื่อยเนื้อหนัง แต่การวางใจในพระเจ้า วางภาระหนักใว้กับพระองค์ เฝ้าเดี่ยว อธิษฐาน อ่านพระคำของพระเจ้าและ เชื่อฟัง พระเจ้า 

จากวันที่ 18 มิถุนายน 2003 วันที่ปอยเข้าพิธีบัพติศมา พระสุรเสียงของพระเจ้า ก้องอยู่ในหัว ว่า "ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว วางใจในเรา" ..................... ถ้า วันนั้น พี่ปอยมีความเชื่อที่มากพอ จิตวิญญาณและชีวิตของปอยก็คงพบสันติสุขนานแล้ว แต่ เพราะ พี่ปอย ดื้อกับพระเจ้าและไม่เชื่อฟังพระองค์ ใช้ปากทำการทุกอย่างที่มันจะทำได้ จึงทำให้ปอยได้รับบทเรียนที่สาหัสที่สุด .....................แต่ด้วยพระกรุณา และ เมตตาคุณของพระเจ้า พระองค์ ก็ทรงช่วยกู้ให้ชีวิตปอยรอดจากความบาปแห่งปากนั้น มาได้

สรรเสริญพระองค์ ที่ทำให้ลูกมีวันนี้ วันที่ได้กลับใจ และ บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ อธิษฐานและขอบพระคุณในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน



02 ตุลาคม 2555

เปิดดูเรื่องราวของ หนูดี แล้วทำให้เข้าใจสมองมากขึ้น รู้ที่มา รู้ที่ไป และกระบวนการทำงานของสมอง มีเหตุและมีผล อธิบายได้จากความจริง และ ศาสตร์นี้
5 คุณสมบัตินักสร้างอัจฉริยะที่ดี
"หนูดี" ยังแนะผู้ที่ต้องการเข้าสู่วงการนี้ว่า 

1.มีคุณธรรมและรู้จริง เพราะวงการนี้เป็นการสร้างคนซึ่งมีความละเอียดอ่อนสูง การให้ข้อมูลผิดเท่ากับเป็นการทำบาป นอกจากนี้ ความรู้ที่มีไม่ใช่แค่ความรู้ที่อ่านจากหนังสือต้องรู้ลึกถึงข้อมูลที่แท้จริง

2. ชื่อธุรกิจบอกแล้วว่าสร้างอัจฉริยะ คนที่จะทำต้องมีปูมหลังชีวิตที่ดี ต้องเรียนเก่ง ทำงานเก่ง และบริหารชีวิตส่วนตัวได้ เพราะถ้าจะไปสอนคนอื่นต้องทำชีวิตตัวเองให้ดีก่อน

3.รู้จักเอื้อคนอื่น 

4.รู้กติกาสากลในการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามา 

5.เก่งทั้งภาษาไทยและอังกฤษ 

ทิปส์ในการพัฒนาสมอง

1. จิบน้ำบ่อย ๆ 
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี 
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ 
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน 
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal 
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ 
สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

วนิษากล่าวว่า คนทั่วไปมักมองว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมักจะหมกมุ่นอยู่กับตำรากองโต ใส่แว่นหนาเตอะและไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งมักเกิดกับคนในวงแคบ เช่น คนที่เก่งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์หรือดนตรี แต่ความจริงแล้ว อัจฉริยภาพมีมากกว่านั้น ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญาซึ่งเสนอว่ามนุษย์มีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแต่บางด้านอาจเด่นกว่าด้านอื่นและขึ้นอยู่กับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก 

อัจฉริยภาพ 8 ด้านที่ว่า ได้แก่ อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์ อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจในตนเอง อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์ อัจฉริยภาพด้านธรรมชาติ และอัจฉริยภาพด้านดนตรี 

สมองของคนเรามีน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกายโดยสมองใช้ออกซิเจนร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของการใช้ออกซิเจนในร่างกายทั้งหมด 

สิ่งที่วนิษาพูดทำให้แปลกใจและลบความเชื่อหรือความรู้เก่าเกี่ยวกับสมองไปได้เลย เพราะอัจฉริยภาพของคนไม่ได้อยู่ที่เซลล์สมอง ไม่ได้อยู่ที่น้ำหนักสมองและไม่ได้อยู่ที่รอยหยักของสมอง แต่อยู่ที่เส้นใยสมองและไมยีลินหรือไขมันสมองมาห่อหุ้ม เนื่องจากเซลล์สมองตายไปทุกวัน แต่จะมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยการทำซ้ำๆ กัน

ดังนั้น อัจฉริยภาพสร้างได้โดยการทำซ้ำๆ กันนั่นเอง เช่น หากเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ถ้าฝึกทุกวันเป็นเวลา 2 ปี ก็จะเป็นคนใหม่ที่เป็นอัจฉริยภาพด้านเปียโนได้
อย่างไรก็ตาม คนที่มีเส้นใยสมองมากที่สุดไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดเพราะสมองมีเนื้อที่จำกัดในการเก็บเส้นใยสมอง สมองจึงมีการ "รีดทิ้ง" เส้นใยสมองในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในเวลานั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กแรกเกิดมีเส้นใยสมองมากที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กคนเดียวกันในอายุ 6 ขวบ และ 14 ปีและยิ่งโตขึ้นเส้นใยสมองยิ่งน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าสมองมีการจัดเก็บและมีแบบแผนในการเก็บเส้นใยสมอง 

อัจฉริยภาพทั้ง 8 ด้าน วนิษาเขียนไว้อย่างน่าอ่านและเข้าใจง่าย ไม่ใช่หนังสือแบบวิทยาศาสตร์หรือแบบเรียนหนักๆ แต่คนทั่วไปอ่านสนุกพร้อมๆ กับได้เคล็ดลับต่างๆ ที่จะช่วยพัฒนาทักษะด้านต่างๆ