04 ธันวาคม 2552

มสธ. ทำให้กบได้ออกจากกะลา

คำถามที่ 1 ทำไมถึงคิดเรียนมสธ.ค่ะ?
ความคิดแรกที่ตัดสินใจเรียน มสธ.


เพราะไม่อยากเป็นกบในกะลา

อยากจะเรียน และศึกษา หาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ

เพื่อจะได้มีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น

มีสังคมใหม่ มีเพื่อนใหม่ และได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิต

นี่คือ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้

คำถามที่ 2 เรียนนานไหมค่ะกว่าจะจบ ?

ถามว่า เรียนกี่ปี ถึงจะจบ
กี่ปีเนี่ย ก็ เริ่มเรียนปี 2543 – 2545 แล้วก็เปลี่ยนสาขาจากนิเทศฯ ไปศิลปะศาสตร์ เรียนไปเรียนมาคิดว่าไม่ใช่เลยเลิกเรียนดื้อๆ


ต่อมา ปี 47 เจอเพื่อนที่เคยสอบด้วยกันมาทักว่าทำไมไม่เรียนต่อ เลยกลับมาลงใหม่

2547 – 2552 นี่แหละ ถึงได้จบกะเค้า เอาเป็นว่า 7 ปีล่ะกัน



โดยส่วนตัวแล้ว เรียนเรื่อย ๆ ไม่ซีเรียสมาก

เทอมหนึ่งๆ ลง วิชา 2 วิชาเท่านั้นเองไม่ถึง 3

เพราะจากสถิติเคยลง 3 แล้วอ่านหนังสือไม่ทัน

ผลสอบจะแป๊ก ไป 1 เพราะไม่ได้อ่านน่ะเอง
คำถามที่ 3 ได้อะไรจากการเรียนมสธ.บ้างค่ะ ?
1. อันดับแรกเลยได้ความรู้


2. ได้เพื่อนใหม่ ได้รับน้ำใจจากเพื่อนๆ มากมาย ได้ความจริงใจ

3. สังคมใหม่ ประสบการณ์ใหม่ๆ

4. ได้รู้จักตัวเอง รู้ข้อบกพร่อง และ รู้หนทางแก้ไข

5. ได้ศักดิ์ศรีและคุณค่า

6. ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ

7. ได้รับความสำเร็จจากความพรากเพียร บากบั่น

8. ได้อะไรมากกว่าที่คิด สาธยายอย่างไรก็ไม่หมด จะมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองถึงจะรู้

ยกตัวอย่าง ง่าย ๆ


ไปสอบภาคปฏิบัติ เสริมทักษะ และประสบการณ์วิชาชีพทั้ง 3 ครั้ง ได้ประสบการณ์ในการเดินทาง

ครั้งแรก

ขาไป นั่งรถไฟตู้นอน ด่วนพิเศษ นครพิงค์ (ค่าโดยสาร 800กว่าบาท,ค่าแท็กซี่ 198 บาทเพราะถนนแจ้งวัฒนะวันนั้น ฝนตก รถติดมาก)

ขากลับ นั่งเครื่องบิน แอร์เอเชีย(ค่าโดยสาร 1,800 กว่าบาท ,ไม่รวมค่าเดินทางไปสุวรรณภูมิเพราะให้พี่ชายไปส่งแต่ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องเสียค่าแท็กซี่ไปสุวรรณภูมิ ประมาณอีก 400 กว่าบาท )ถึงเชียงใหม่ให้สามีไปรับ





ครั้งที่สอง

ทั้งขาไปและขากลับ นั่งเครื่องบินแอร์เอเชีย (ค่าโดยสาร 2,000 กว่าบาทค่าเดินทางไปมสธ.ไม่เสียเพราะวานให้พี่ชายไปรับไปส่ง)

ด้วยความที่ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาที ก็ถึง เลยไปก่อนเพือนนักศึกษาคนอื่น 1วัน

เสียค่า ห้องพักนอนรออีก 400กว่าบาท

รวมๆ ค่าอาหารด้วย อีกนิดหน่อย ถึงเชียงใหม่ให้สามีไปรับ รอบนี้ก็ประมาณ 3,000 กว่าบาท



ครั้งที่สาม

ทั้งขาไป และขากลับ โดยสารรถไฟ ตู้นอน ด่วนพิเศษ นครพิงค์ (ค่าโดยสาร 1,700 กว่าบาททั้งไปและกลับ, ค่าแท็กซี่ ขาไป80 บาทขากลับ 95 บาท เพราะฝนตกนิดหน่อย)เมื่อถึงเชียงใหม่ นั่งสองแถวแดง กลับ 200 บาท



สรุป การเดินทางไป มสธ. ที่ประหยัดที่สุด ใช้เวลาเดินทางนานสุด ก็คือ รถไฟ แต่ก็สบายดีนะนอนไป นอนกลับได้หลับสบายๆๆ ไม่เหนื่อยไม่เมื่อย ไม่เร็วก็จริง แต่ก็ไม่ช้าเกินไป ไม่สายไปทันอยู่จากเชียงใหม่


ได้เพื่อนใหม่ บนรถไฟด้วยนะ (คุณEva คนสวิเดน ท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบ้านชีวิตใหม่ ที่เชียงราย ปัจจุบัน พันธกิจของบ้านชีวิตใหม่ คือ เปิดร้านเบเกอรี่ ที่หน้าขนส่งเชียงราย)


เห็นไหมล่ะ เรียนมสธ.ได้อะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ นะ

18 พฤศจิกายน 2552

2012



มีใครไปดูหนังเรื่อง 2012 มาแล้วมั่งคะ ส่วนปอยไปดูมาแล้ว
ไปดูหนัง 2012 ที่ Vista Chiang Mai มาเมื่อ(18/11/09)

 ที่ปอยอยากดูหนังเรื่อง 2012 เพราะอ.ดร.ศิริวรรณ อนันต์โท วิทยากรประจำกลุ่ม

ได้พูดถึงเรื่องของ keyword  ที่ผู้คนในโลกไซเบอร์ใช้หาใน google
ปอยก็เลยอยากดูว่าทำไม หนังเรื่องนี้ถึงอยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก
ปอยบอกสามีว่า 2012 เป็น 1 ใน keyword อันดับต้น ๆๆ ซึ่งเป๊น
ชื่อหนังเรื่องหนึ่งที่อยู่ในกระแสนิยม ที่สร้างกระแสสังคม
ทำให้เกิดการวิพากวิจารณ์ถึงความเป็นไปได้ อย่าง Yellow stone วันสิ้นโลก (น้ำท่วมโลก)
เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในดึกดำบรรพ์

หลังจากออกจากโรงหนัง ปอยได้คิด และพูดกับสามีว่า ถ้าถึงวาระนั้น ถ้าฉันและเธอ และเราทุกคนต้องอยู่ใน

สถานการณ์นั้นจริงๆ แล้ว ผู้มีอำนาจกำหนดให้ เราทุกคนมีสิทธิ์เลือกคนเดินทางไปกับเรื่อโนอาลำยักษ์นั่น

ได้ 1 คน ซึ่งเราจะโหวตให้ใครไปก็ได้ จะเป็นตัวเอง คนในครอบครัว หรือ คนอื่นที่คุณคิดว่ามีบทบาทที่สำคัญและสามารถช่วยเพื่อนร่วมโลกคนอื่นได้ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกได้เพียง 1 คน

เราจะเลือกเอาใครไป

หลังจากตั้งโจทย์คำถามจบ ปอยก็บอกว่าไม่ต้องตอบหรอก

เพราะฉันจะให้เจแปน(ลูกชาย) ขึ้นเรือไปกับเธอ(สามี)

สามีพูดว่า”ขนาดนั้น เชียว”

ปอยตอบว่า “ใช่ เพราะถ้าลูกอยู่กับเธอ (สามี) เธอก็จะปกป้องดูแลลูกได้ ส่วนฉัน

คงไม่ไป เพราะถ้าฉันไป มันคงลำบากที่ต้องหา ช่างมาทำ ขาเทียมข้างใหม่ให้”


จริงๆ ถ้าคิดให้ดีๆ

สามี มีสิทธิ์เลือก ภรรยา ลงเรือ เท่ากับ ตอนนี้ ภรรยา อยู่บนเรือ

ภรรยา มีสิทธิ์เลือก สามี ลงเรือ เท่ากับ ตอนนี้ สามี อยู่บนเรือ

ลูก มีสิทธิ์เลือก ตัวเองลงเรือ เท่ากับ ตอนนี้ ลูก ก็อยู่บนเรือ

ในที่สุด เรือลำนี้ ก็มีทั้ง พ่อ แม่ ลูก อยู่บนเรือ และทุกคนก็ปลอดภัย

เราไม่ได้สอนให้ลูกของเราเห็นแก่ตัว แต่เราสอนให้ลูกมีสติ

ในช่วงเวลาที่เราต้องประสบกับปัญหาครั้งใหญ่ในชีวิต เราต้องรู้จักตั้งสติ

และวางแผนชีวิตร่วมกัน เพราะเราต้องการให้เขาให้ความสำคัญกับครอบครัว

ขึ้นชื่อว่า “คน” ก็มักมีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แต่ในความเป็น “มนุษย์” ที่มีอารยธรรม

ก็ควรเห็นใจ ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วย เพราะเราทุกคนอยู่ในสังคม โลกใบเดียวกัน

เราก็ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เพราะถ้าส่วนรวมอยู่ไม่ได้แล้วเรา จะอยู่ได้อย่างไร

นิเทศฯ เขียวทอง ‘52

ประมวลภาพ การอบรมเข้มชุดประสบการณ์วิชาชีพนิเทศศาสตร์ 1/2552
ระหว่างวันที่ 13-17 พ.ย. 2552
ณ อาคารพิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


กิจกรรมสัมพันธ์



จากซ้ายไปขวา ผศ.วิระชัย ตั้งสกุล คุณดี้ ชนานา นุตาคม คุณเอ๋ วชิรา เพิ่มสุริยา รศ.ณัฐฐวัฒน์ สุทธิโยธิน



คุณเอ๋ สาธิตการพากย์ตัวละคร อิยวดี ในละคร ธิดาวานร


คุณดี้ ชนานา ถ่ายทอดเทคนิคการแสดง

และเพื่อนนักศึกษา (รศ.ณัฐฐวัฒน์ ได้เชิญนักศึกษาที่มีย้อมผมสีทอง ออกมากร่วมกิจกรรมสัมพันธ์



 
 



22 ตุลาคม 2552

ทำอย่างไรเมื่อคุณคิดฆ่าตัวตาย (หนทางที่จะนำไปสู่ความรอด)

วิธีฆ่าตัวตาย ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่จะฆ่ายังไง ให้จิตและวิญญาณไปสู่ความรอดนี่สิ สำคัญ
เรามาดูกันว่า จะทำอย่างไร

เริ่มด้นด้วยการเตรียมกระดาษ กับ ปากกา สักด้ามหนึ่ง
1. ให้คุณใช้ปากกาด้ามนั้นเขียนบรรยายความรู้สึกทุกอย่าง ที่มันล้นอยู่ในจิตใจของคุณ
เขียนออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้(นี่แค่เริ่มต้น อย่าเพิ่งเขียนข้อความสั่งเสีย ยังไม่ถึงเวลา)
2.  ถ้าอยากร้องไห้ก็ขอให้ร้องไห้ให้มันสุดๆ อย่าหยุดที่จะร้องไห้ ถ้าในขณะจิต นั้นคุณอยากร้องไห้
3.  เมื่อคุณเขียนความในใจของคุณมากพอ มากจนคุณไม่รู้จะเขียนอะไร หรือ ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะเขียนแล้วขอให้พัก  และวางปากกาของคุณลง
4.  เมื่อคุณร้องไห้แทบเป็นสายเลือดจนไม่มีแม้น้ำตาจะให้หลั่งไหลมาได้อีก

จากนั้น  หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้า ช้า ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะรู้สึกสงบลง หยุดคิดทุกอย่าง ในสถานการณ์ที่คุณอยู่ อาจกดดันคุณอยู่ก็จริง แต่หากคุณไม่อาจหนีจากปัญหา หรือ สิ่งที่กดดันคุณได้ ก็ขอให้ใจคุณพัก ละ วาง ปัญหานั้นไว้ก่อน

5.  ให้คุณอ่านข้อความในกระดาษนั้นอีกครั้ง ในช่วง วันเวลาอื่น ที่คุณสบายดี ไม่ทุกข์อะไร แต่การอ่านครั้งนี้ ให้คุณเตรียมกระดาษเปล่ามา 2 แผ่น
6.  แผ่นหนึ่งให้คัดลอกข้อความ หรือ คำที่คุณเขียนออกเป็นข้อๆและเขียนหัวกระดาษแผ่นนั้นว่า อดีต
7.  นำกระดาษเปล่าอีกแผ่นที่เตรียมไว้ มาเขียน ข้อความ หรือคำ ที่มีความหมายตรงกันข้ามกับกระดาษแผ่นที่เขียน หัวกระดาษว่า อดีต
8.  จากนั้นเขียนหัวดาษ (ที่มีข้อความตรงกันข้าม) ว่า ปัจจุบัน
9.  จากนั้น ให้คุณตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยใจที่ตั้งมั่น บอกกับตัวเองว่า ฉันอยู่ในปัจจุบัน ฉันเป็นอย่างปัจจุบัน และให้อ่านข้อความในแผ่นปัจจุบันนั้น (สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไปแล้ว นี่แหละเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น) อย่าจมอยู่กับสิ่งเก่าแล้วเริ่มต้นใหม่ เถอะค่ะ ตัวอย่างเช่น

อดีต                                           ปัจจุบัน
1.  ฉันมันโง่                               1.  ฉันไม่โง่หรอก
2.  ฉันขี้ขลาด                            2.  ฉันกล้าหาญ
3.  ฉันมันเลว                             3.   ฉันนั้นแสนดี
4.  ฉันมันคนชอบโกหก             4.   ฉันเป็นคนจริงใจ

ฯลฯ
10.  ขั้นตอนนี้สำคัญ ให้คุณ เอาปากกาด้ามที่คุณใช้ ฆ่า ข้อความ ในกระดาษ อดีต ทีละข้อ และฆ่าทิ้งให้หมด อย่าให้เห็นข้อความนั้นอีก
11.  เก็บกระดาษ ปัจจุบันของคุณเอา นั้นละ ชีวิตใหม่ ของคุณ
12.  สิ่งสำคัญ คุณต้องฆ่าความคิดที่ติดลบ และ อคติ ในชีวิตคุณทุกๆข้อ ฆ่าให้หมด และอย่าสร้างใหม่ ถ้าจิตใจของคุณเริ่มสร้างข้อความแห่งอดีต ซ้ำขึ้นมาใหม่ แสดงว่า คุณกำลังกลับไปอดีต (คุณจะทำร้ายตัวเองอีกทำไม ใครๆ ต่อใครมากมาย ทำอะไรกับคุณ มันยังไม่เท่าตัวคุณเอง ทำร้ายตัวเอง ยังเจ็บไม่พอหรือ ยังทุกข์ไม่พอหรือ
13.  ให้ชีวิตของคุณอยู่กับ ปัจจุบัน และ กล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัวเลยเพื่ออนาคต ที่คุณจะมีชีวิตใหม่ และได้รับความรอด ทั้งร่างกายและจิตใจ

ข้อแนะนำ : ถ้าทำอย่างขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว ยังไม่สำเร็จ ขอให้โทรมาที่ 02-713-6793
ข้อมูลเพิ่มเติม ลิงก์http://samaritansthailand.blogspot.com/2009/05/blog-post.html

19 ตุลาคม 2552

วันแรกของการเรียน สร้างเว็บไซต์

19/10/09
เริ่มเรียน สร้างเว็บไซต์เป็นวันแรก
อาจารย์เน้นเนื้อหา ความรู้ขั้นพื้นฐาน อาทิ
เว็บไซต์คืออะไร
การจดทะเบียน และ ค่าใช้จ่าย
โปรแกรมที่ต้องใช้
ศัพท์ที่ควรทราบ เช่น html คืออะไร URL คืออะไร
ความต่างของคำว่า เว็บไซต์ เว็บเพจ โฮมเพจ เว็บบราวเซอร์
สกุลดอท ต่างๆ หมายความว่าอย่างไร
การออกแบบโลโก้
การออกแบบเว็บไซต์
โทนสีที่ใช้
การนำรูปภาพหรือข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาใช้
การละเมิดลิขสิทธิ์
การหาความรู้เพิ่มเติมผ่านgoogle


ประมาณนี้ส่วนรายละเอียดการเรียน
อยากรู้ต้องลองมาลงเรียนกันดูนะจ๊ะ

หวังไว้ในใจว่า ถ้าเรียนจบหลักสูตร จะสร้างเว็บไซต์ของตนเองได้
และจะได้มาทำบล็อกให้มันดูดีกว่านี้หน่อย
คือรู้สึกว่า แค่พิมพ์บทความ โพสต์รูป ที่ไม่มีการตกแต่งภาพใด ๆ ดูบ้านๆ ไงม่ะรู้
อยากสวยอ่ะ

โปรดติดตาม
อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดในบล็อกOneleg
เร็วๆ นี้ (Coming Soon) จ้า

การสร้างเว็บไซต์ กับ ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 14/10/ 09 ที่ผ่านมาได้ไปลงทะเบียนเรียน
การสร้างเว็บไซต์ ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดเชียงใหม่มา
ชำระค่าเรียน ไป 1,000 บาท (30 ชั่วโมง)
จะเริ่มเรียนตั้งแต่วันที่ 19 - 30 ต.ค. 2552 เวลา 17.30 - 20.30 น.
http://home.dsd.go.th/cmskill/varasan.htme.dsd.go.th/cmskill/varasan.htm

ในวันนั้นคนมาลงทะเบียนกันหนาตามาก
ห้องลงทะเบียนก็สุดแสนจะคับแคบ
มายื่นออกันอยู่ที่ประตู เปิดเข้าไปพบกับอะไรกันเนี้ย (อ่ะนะ อบอุ่นซะ)
เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าทำ ไม่ตั้งโต๊ะลงทะเบียนด้านในหรอค่ะ
เปิดประตูเข้าห้องมาจะได้เดินไปต่อแถวได้สะดวก
เจ้าหน้าที่บอกว่า " อ๋อ ไม่ได้หรอกค่ะ ด้านในเป็นเขตห้ามเข้า "

ถ้าเช่นนั้น คับแคบนัก และสงวนสิทธิ์การย่างกายถึงเพียงนี้
น่าจะเอาโต๊ะไปลงทะเบียนหน้าอาคารให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะคะ
(ปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่จำกัดพื้นที่ ขอบเขตที่ห้ามล่วงล้ำดี)
เปล่าประชดนะคะ แนะนำอ่ะค่ะ ปราถนาดีจริงๆ นะ


หลังจากชำระเงิน ใบเสร็จรอวันเข้าเรียนเลยนะคะ
อยากจะบอกว่า ใบเสร็จชั่วคราว ที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ก็ไม่มีหรอคะ
อย่างนี้ถ้าหาก ชีสแผ่นที่ลงชื่อลงทะเบียนและชำระเงินนั้นหายไป
นักศึกษาผู้เข้าเรียนจะเอาหลักฐานที่ไหนมายื่นยันอ่ะเนี่ย
เพื่อนหลายคนก็คิดเหมือนกัน แต่ ทำไงได้มันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ

ระบบราชการเค้าต้องทำงานกันอย่างอาหารจานพิเศษหรอคะ
จะทำอย่างอาหารจานด่วน หรือ ออเดิฟ ไม่ได้หรอคะเนี้ย

แต่ไม่เป็นไรค่ะ เชื่อใจๆๆ แต่วัวหายแล้วรอบคอก ดูจะไม่ดีนะคะ
กันไว้ดีกว่าแก้ แค่การจัดการง่ายๆ เอง
หรือมันเกี่ยวกับงบประมาณหรือเปล่าค่ะ
อืม  ได้ยินบ่อยๆ ขาดงบประมาณ อ่ะไรอย่างเนี้ยน่ะค่ะ
ถามด้วยความสงสัยนะคะ ไม่ได้พาลใคร หรือกล้าวิจารณ์การทำงานของหน่วยงานรัฐ
(นี่ขนาดไม่กล้า นะ ปากคอ ร้ายจริงๆ เลยเรา)

คือเป็นคนตรงไป ตรงมา น่ะค่ะ
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
ข้อความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
หากทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดหมองใจ โปรดเมตตาอภัยด้วยนะคะ

แต่ดีใจอยู่นะ ค่าเรียนไม่แพง และ คุณภาพหลักสูตรและการสอนดี
เรื่องเล็กๆ เหล่านั้น อนุโลมละกัน

ถอดรหัส เครื่องมาตราฐาน

วันนี้(20/10/09)เข้าไปอ่านhttp://tatrionline.blogspot.com/
แล้วก็ทำให้นึกถึงเครื่องหมายมาตราฐานขึ้นมา น่าคิดว่ามันน่าจะทำให้เกิดอะไรกับทุกๆ ผลิตภัณฑ์ที่นำเครื่องหมายนี้ไปใช้หรือเปล่า

จากข้อมูลเบี้องต้น เครื่องหมายมาตราฐานนั้นมี 2 ลักษณะ ได้แก่

เครื่องหมายมาตราฐานทั่วไป
เครื่องหมายมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ (มอก.)
ถ้าหาก ลูกศร และ ทิศทางหมายถึง
อดีต - ปัจจุบัน- อนาคต
แล้ว ลูกศรที่ชี้ขึ้นทั้งบน ลง ทั้ง ล่างจะหมายความว่าอย่างไร สงสัยจัง
อยากให้ผู้รู้ช่วยวิเคราะห์และอธิบายเป็นกรณีศึกษา จริงๆ ค่ะ



เครื่องหมายมาตรฐานบังคับ
แล้ว วงกลมล้อมรอบจะหมายถึงการไม่สิ้นสุดหรือเปล่า(จะเหมือนอย่างแหวนแต่งงานของคริสเตียนหรือเปล่า ที่ต้องใช้แหวนที่มีลักษณะกลมเกลี้ยง ไม่มีรอยต่อ เชื่อมต่อกันสนิท สื่อถึงความรักที่ไม่มีสิ้นสุด)

18 ตุลาคม 2552

ประมวลภาพ เมื่อครั้งไปเที่ยว "วัดร่องขุ่น"


ปรากฎสายรุ้ง บนม่านน้ำพุ



สวยงาม วิจิตร ตระการตา


รูปเนี่ย ถ่ายตอนตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนกว่าล่ะ
วัดร่องขุ่น เนี้ยปอยเคยไปเที่ยวมาแล้ว
เมื่อครั้งไปทำข่าวให้กับโครงการ Art for All
แต่สถานภาพครั้งนั้นยังโสด ตอนนั้นประมาณ ปี 48

แต่ตอนท้อง ประมาณปี49
ดูเหมือนห่างกันไม่กี่เดือน
แต่ดูสภาพแล้วเหมือนหลายปี
look คนละคนกันเลย
55555 จริงๆ นะ

น้ำตกภูซาง จ.พะเยา

ปอยได้ไปทำข่าว เผยแพร่กิจกรรมของ"โครงการ Art for All "
ที่จังหวัดพะเยา ได้ไปเที่ยวน้ำตกภูซางด้วย
ได้ไปว่ายน้ำ เป็นครั้งแรก หลังจากที่ปอยพิการ มาเกือบ 10 ปี

ปอยไม่นึกเลยนะว่า มีขาข้างเดียวแล้วจะว่ายน้ำได้ สนุก มีความสุขมากเลย
ลงไปว่ายน้ำ กับเพื่อนคนพิการอีกคน เธอพิการแขน 1 ข้าง
สนุกจริงๆ น้ำใสไหลเย็น ธรรมชาติสวยงาม สงบ สะดวก  สะอาดดี

แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา น่าเสียดาย
แต่จะจดจำไว้ไม่รู้คลาย เลย

ช่วงแบเบาะ

รูปเจแปนตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิดนะ
อายุ ก็ประมาณ เดือนกว่า 2 เดือน ได้ล่ะมั้ง
แก้มยุ้ย เลยใช่ม๊า

นี่แหละๆๆ ลูกชายของปอยเอง น่าเกลียด น่าชังป่ะเปล่าจ๊ะ
ตามประสาลูกคนแรกอ่ะนะ

ขาเทียมข้างนั้น

ขาเทียมข้างนั้น ปอยจำไม่ได้แล้ว ว่ามันเป็นขาข้างที่เท่าไร
จำได้แต่ว่่า สถานที่ ที่ถ่ายรูปนี้ คือ สถาบันแมคเคนเพื่อการฟื้นฟูสภาพ จ.เชียงใหม่http://www.mckeanhosp.org/
ประมาณปี 2547 เห็นจะได้ ปีนั้นเป็นปี ที่ปอยเดินทางไปทำขาเทียมด้วยตนเองครั้งแรก
เดินทางจากอำเภอแม่สาย ด้วยการโดยสารรถประจำทาง ถึงเชียงใหม่ ก็ไม่มีที่พักที่ไหน โชคดีว่าเคยรู้่จักกับเพื่อนคนพิการคนหนึ่ง บนรถเมล์เมื่อนานมาแล้ว เขาชื่อเก้าลิ่น ปอยทักหลังจากที่เห็นเขาใช้ไม้เท้าก้าวขึ้นมา จากการพูดคุยทำให้ปอยรู้จักสถาบันแมคเคนฯ เป็นครั้งแรก ในเวลานั้นรู้แต่เพียงพอที่นั้น คือ โรงพยาบาลที่รักษาและดูแลคนพิการเท่านั้นเอง

พอไปถึงเชียงใหม่ลงจากรถเมล์เดินไปที่คิวรถสองแถว(ป่ากล้วย) เพื่อไปสถาบันแมคเคน ตั้งใจจะไปหาที่พัก ซึ่งที่พักที่นั้นเป็นบ้านหลังเล็กๆ (น้าพยาบาลคนหนึ่งเรียกว่าบ้านตุ๊กตา) น้าเค้าบอกผ่านมาตามสายโทรศัพท์น่ะ พอมาเห็น อืม สมชื่อนะ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีที่ว่างหน้าห้องน้ำไว้แต่งตัว มีโต๊ะอาหาร ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน สำหรับ 1 ท่าน  อยู่ 2 เตียง เป็นที่พักที่มีพร้อม สะดวก ประหยัด ห้องพักสะอาด เป็นสัดเป็นส่วนดี ราคาห้องพักตอนนั้น คืนละ 100 พร้อมอาหาร 3 มื้อ ปัจจุบัน เค้าปรับปรุง ติดมุ้งลวด มีโทรทัศน์ ตู้เย็น กระติกน้ำร้อน ให้ด้วย ส่วนราคา ..... ไม่แน่ใจ ต้องโทรไปถามอัพเดทกันเองนะจ๊ะ ส่วนรูปบ้าน (เอาไว้จะแอบถ่ายมาให้ชมนะจ๊ะ) ถึงแม้ว่าจะสร้างมาหลายสิบปี แต่ก็น่าอยู่และย่อมเยากว่าพักโรงแรมมากเลยนะ ขอบอก

ไปพักที่นั้น ปอยได้เจอเพื่อนคนพิการใหม่ๆ เยอะเลย นี่แหละมั้งคือผลพลอยได้จากการก้าวออกจากบ้านครั้งใหม่ของปอยน่ะ

ปอยเคยใฝ่ฝันนะ ว่าปอยอยากเดินทางท่องเที่ยวแบบสพายเป้ นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เดินย้ำเท้าไปไหนต่อไหนลำพังตัวเองสักครั้ง แล้วก็สมใจนะ ปอยนั่งรถไฟ ไปหาคุณย่าที่สระบุรี ลงหัวลำโพง แล้วต่อไปหนองแซง ง่วง เหนื่อย มันส์ สนุก ระหว่างการเดินทาง ทางรถไฟ ปอย คุยกะผู้โดยสารไปทั่วแหละ นั่งชั้นสามไป สนุกดี นั่งๆอยู่พอลุกไปเข้าห้องน้ำกลับมาที่นั่งหาย 555 ก็เลยนั่งหน้าห้องน้ำซะเลย ใกล้ รวดเร็ว สะดวก และเหม็น ก็อ่ะนะ ไม่มีน้ำนี่นา ธรรมดาต้องมีกลิ่นกันบ้าง

การเดินทางไปทำขาเทียมครั้งนั้น เป็นประสบการณ์ที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนขอชีวิตเลยนะ ทำไมน่ะหรอ

เอาไว้จะทยอยเล่าให้ฟังนะจ๊ะ

ความจริง กับการเป็นอาสาสมัครของฉัน

ความหมายของคำว่า "อาสาสมัคร" 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อาสาสมัคร (volunteer) หมายถึง ผู้ที่สมัครใจทำงานเพื่อประโยชน์แห่งประชาชนและสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือสิ่งอื่นใด บุคคลที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือสังคมด้วยความสมัครใจ เสียสละ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ป้องกัน แก้ไขปัญหาและ พัฒนาสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

อ่านต่อเพิ่มเติม
http://th.wikipedia.org/wiki/อาสาสมัคร

ทุกคนมีเหตุผลและความต้องการส่วนบุคคลที่จะคิดจะทำอะไรก็ได้ ตามใจประสงค์ของตนเอง อย่างการเป็น"อาสาสมัคร" ตามความหมายข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า บุคคลที่เป็นอาสาสมัครนั้น เป็นผู้ที่เสียสละ มากถึงมากที่สุด ยิ่งในสภาพสังคมที่เลวร้ายขึ้น ผู้ที่เสียสละทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ การเงินทั้งโลก ที่ดูแสนจะฝืดเคืองเช่นนี้ เป็นคนดีที่น่าสรรเสริฐและยกย่อง หากอาสาสมัครนั้นทำงานด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ จะร้อยทั้งร้อย หรือ 1 ในร้อย ก็ขอให้มีอยู่ในสังคมเถิด

          ที่กล่าวอย่างนี้ มิได้้มีจุดประสงค์คิดร้าย หรือ มองเจตนา อาสาสมัคร ในทางลบ แต่เพราะเคยประสบพบเจอมาแล้วกับตนเอง เพราะเมื่อก่อน ปอยเคยคิดอยากจะเป็นอาสาสมัคร ช่วยเหลือ เพื่อนคนพิการคนอื่นๆ หรือใครก็ได้ที่เค้าอยากให้ช่วยด้วย (แต่ปอยรู้ตัวเองดีว่า การอยากเป็นอาสาสมัครในเวลานั้นปอยทำไปเพื่อต้องการสร้างคุณค่าในตนเอง และ เพื่อความสุขส่วนตัว ทำแล้วมีความสุขเลยอยากทำ)
          แต่แล้วก็พบกับความจริงบางอย่างว่า ผู้ที่เป็นอาสาสมัคร หรือ องค์กรการกุศล ที่ประกอบกิจกรรม กิจการสาธารณะประโยชน์บางราย ขอย้ำว่า บางรายเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ความจริง ไม่ใช่เพื่อสาธารณะเสมอไป ในที่นี้ ขออภัยองค์กรการกุศลทุกองค์กร หากข้อความในหล็อกนี้ไม่ว่าจะตอนหนึ่งตอนใดหรือทั้งหมดจะทำให้คุณๆ เสียความรู้สึก หรือขุ่นข้องหมองใจ โปรดให้อภัยด้วย เพราะปอยก็ไม่ปราถนาที่จะให้เกิดข้อพิพาท ฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทแต่อยากบอกเล่าบางสิ่งแก่สังคมเท่านั้น หากคุณหรือใครไม่ได้เป็น ก็ไม่เห็นต้องเดือดเนื้อร้อนตัว เพราะอาสาสมัคร คนดีจริง บริสุทธิ์ใจจริง ก็ยังมีอยู่ในสังคมอีกมากจริงๆ

          ปอยจำจนฝังใจกับใครคนหนึ่ง ที่อ้างตัวเองว่าเป็นอาสาสมัคร ช่วยเหลือคนพิการ เขาได้รับความชื่นชมจากสังคมมากมาย ได้ความช่วยเหลือ สนับสนุนกิจกรรมการกุศลของเขา จนกิจกรรมก้าวหน้า กลายเป็นกิจการที่สร้างรายได้และเงินทองสรรหาทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์มากมาย ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ปอยพบเขา ปอยเข้าไปพบและพูดคุยกับเขาด้วยใจศรัทธา และเชื่อเหลือเกินว่า ชายผู้นี้เป็นคนดีที่น่าชื่นชมและเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นผู้ที่น่าจะสานฝัน การเป็นอาสาสมัคร และร่วมช่วยเหลือคนพิการและสังคมร่วมกัน

          ปอยบอกเขาว่า ปอยอยากทำโครงการขึ้นมาสักโครงการหนึ่ง เป็นโครงการที่กระตุ้นให้คนพิการหันมาพึ่งพาตนเอง และ พัฒนาตนเอง เพื่อที่ให้เขาเหล่านั้นมีชีวิตใหม่ กล้าที่จะออกมาสู่โลกภายนอก ออกจากกรอบชีวิตที่จำกัด มาเป็นคนพิการที่ร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ดีร่วมกัน ปลดแอกจากการเป็นภาระสังคมมาเป็นหนึ่งในพลเมืองของโลกที่มีประโยชน์ อย่างน้อยที่สุด ขอแค่ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง และ ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ผนึกกำลังกันขึ้น ให้เราอยู่รอดได้ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และการดิ้นรน (เพราะด้วยอุปสรรคทางร่างกาย เป็นข้อจำกัดแรก ที่เราผู้พิการต้องมีแรงผลักดันและกำลังขับเคลื่อนที่มีแรงม้า มากว่าคนปกติทั่วไป )

แต่คุณรู้ไหม ชายคนนั้น ตอบกับปอยว่าไง "ไม่เห็นต้องทำอะไรอยู่บ้านไป ไม่เห็นต้องดิ้นรนอะไร สังคมก็คอยช่วยเหลืออยู่แล้ว" ฮึๆๆๆ อยากรู้เบื้องหลังไหม ถ้าคนพิการในสังกัดองค์กรของเขาช่วยเหลือตนเองได้ ก็ไม่มีใครเขาสงสาร สงเคราะห์เงินทองให้อีกแล้ว ทีนี้ คนดีที่ปกติก็ต้องไส้แห้งตาย เพราะคนพิการหันมาขนขวายช่วยเหลือตนเอง

ในทัศนะของปอยนะ คนพิการมีความรุนแรงของความพิการไม่เท่ากันนะ หลายคนพิการรุนแรงมากจนไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ แม้แต่จะลุกจะนั่ง จะขับถ่าย จะกิน จะนอน ทำอะไรไม่ได้เลย อย่างนี้ความเมตตา สงสารไม่พอหรอก เราต้องให้ความช่วยเหลือเขาและครอบครัวของเขาด้วย เพราะถ้าครอบครัวคนพิการลำบาก มันก็ยากที่จะหาความสบายแก่ชีวิตคนพิการในครอบครัวนั้นได้ จริงไหมคะ

แต่การที่ปอย อยากให้คนพิการที่อยู่แต่ในบ้านเปลี่ยนแปลงตนเอง การปลุกระดมให้เขาหาญกล้า ออกมาสู่สังคมภายนอก ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะปอยเชื่อว่า ชีวิตนี้ต้องดีกว่า มันมีอะไรอีกเยอะ ที่ทำให้คุณคนพิการและครอบครัว มีความสุขขึ้นมาได้ จริงๆ นะ ปอยเจอมาแล้วกับตัวเอง มันดีกว่า และมันดีขึ้นจริงๆ กับการเปลี่ยนแปลงชีวิต ทัศนคติ จากทางลบมาเป็นบวก (มันไม่ง่ายที่จะเริ่มต้น และต้องใช้ความมานะอดทนสูง ) จริงๆ ก็แอบท้อบ้าง เหนื่อยบ้างเหมือนกัน แต่ผลแห่งความพยายาม มันนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีจริงๆ นะ

          แต่ในงานอาสาสมัคร ปอยก็ได้เจอทั้งอาสาสมัครจอมปลอม และ อาสาสมัครจริงๆ เยอะเหมือนกันนะ อย่างโครงการ Art for All ที่ปอยเคยไปทำข่าว ตอนที่เป็นดีเจอยู่ที่คลื่น 106.75 Pinkradio นั้นไง สนุก และมีความสุขมาก ชื่นชมเพื่อนคนพิการที่เขาเป็นอาสาสมัครเต็มตัว เขาเหล่านั้นเป็นเหมือนต้นแบบ แบบอย่างที่ดี ที่ปอยศรัทธาจริงๆ รวมไปถึง อาจารย์จากฐุฬา คณะศิลปศาสตร์ ทุกท่าน ที่ปอยได้ร่วมสนทนา สัมภาษณ์พูดคุยในวันนั้น (แม้จะนานมากแล้ว แต่ก็ยังประทับใจในความร่วมมือ ของท่านทั้งหลายจริงๆ ) ทั้งโครงการศิลปะ ที่จังหวัดพะเยา หรือแม้แต่โครงการที่มาจัดที่ อำเภอแม่สาย  คณะครู อาจารย์ ให้ความช่วยเหลือ ร่วมมือกันอย่างดี หวังเสมอว่า ขอให้โครงการดีๆอย่างนี้ต่อไป และมีคนดีๆ ที่มีใจกุศล ให้มีทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความสุข มีพลังที่จะช่วยเหลือสังคมดีๆ ต่อไป

และก็หวังว่า คนดีในสังคมจะไม่ยอมแพ้หรืออ่อนแอกับอุปสรรคนานับประการ ขอให้คนพาลในคราบคนดีหมดไปจากโลก หรือ ไม่ก็ขอให้เขากลับตัวเป็นคนดีจริงๆ สำนึกในการกระทำบ้าง เลิกทำกุศลด้วยใจอกุศลสักที แล้วหันมาเป็นคนดีจริงๆ สร้างสังคมดีร่วมกัน เราจะได้มีอาสาสมัครที่มีใจบริสุทธิ์ ร้อยทั้งร้อยสักที

ขอเป็นกำลังใจให้กับอาสาสมัครบริสุทธิทุกคนนะคะ
สู้ๆค่ะ คุณเยี่ยมจริงๆ


       

ความเสมอภาคและความเมตตา เวทนา สงสาร

เราคงเคยได้ยินกันบ่อยครั้ง ถึงการเรียกร้องความเสมอภาคและเท่าเทียมกันของคนในสังคม มุมหนึ่ง เรียกร้องความเป็นธรรม ความเสมอภาค อีกมุมหนึ่งร้องขอความเมตตา เวทนา สงสารและเห็นใจ  แต่ดูมันจะไปด้วยกันไม่ค่อยจะได้นะ  ในนิยามของคำว่า เสมอภาค ในความคิดของปอย ปอยกลับมองว่า ในเมื่อคุณต้องความเสมอภาค คุณก็ต้องเป็นที่มีศักยภาพที่ดีมากพอจะแข่งขัน อย่างเช่น คุณต้องการมีงานทำ คุณก็ต้องรู้จักพัฒนาตนเอง เพื่อที่องค์กร หรือ หน่วยงานที่คุณสมัครจะได้เห็นความสามารถของคุณ คุณต้องพร้อมที่จะแข่งขันกับผู้สมัครงานคนอื่นๆ ที่อาจมีความเหนือกว่าคุณทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือแม้แต่ร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม (ซึ่งมันยากและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ต้องอดทนมาก) ดังนั้น หากคุณต้องการความเสมอภาค คุณต้องพร้อมที่จะต่อสู้ ในสนามนี้ ถ้าคุณอยากก้าวหน้่า อยากให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง คุณต้อง "กล้า" ไม่ใช่แค่กล้าธรรมดาแต่ต้อง "กล้าหาญ" อย่างมีศักดิ์ศรี แต่ถ้าคุณต้องการความเมตตาและเวทนา คุณคงหาศักดิ์ศรียากหน่อยนะ จริงไหม

15 ตุลาคม 2552

แฟ้มข่าว: พจนานุกรมภาษามือ ประโยชน์สำหรับคนพิการ

พจนานุกรมภาษามือ ประโยชน์สำหรับคนพิการ

« เมื่อ: สิงหาคม 20, 2008, 10:19:02 am »
--------------------------------------------------------------------------------
พจนานุกรมภาษามือ

          เทคโนโลยีนับเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มโอกาสให้กับผู้พิการ
ซึ่ง “โปรแกรมประดิษฐ์พจนานุกรมภาษามือช่วยสื่อสารคนพิการทางหู” ผลงานของนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมคอมพิว เตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตภูเก็ต ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีส่วนช่วยให้ผู้พิการทางการได้ยินให้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลทั่วไปได้

          นายอัมรินทร์ ดีมะการ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตภูเก็ต บอกว่า โครงการระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนรู้ภาษามือไทยหรือพจนานุกรมมัลติมีเดียภาษามือ เพื่อช่วยในการเรียน/การสอนในชั้นเรียนของผู้พิการทางการได้ยินของภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มอ. เขตการศึกษาภูเก็ต ที่พัฒนาโปรแกรมโดยนางสาวไพลิน พันธุ์ฉลาด และ นางสาวบุษรา สกุลสุจิราภา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศระดับนิสิต/นักศึกษา ในโครงการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอม พิวเตอร์แห่งประเทศไทย (National Software Contest : NSC) ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็ก ทรอนิกส์และคอม พิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ซึ่งการแข่งขันในระดับนี้ไม่ มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยใดได้รับรางวัลชนะเลิศ

          โปรแกรมดัง กล่าวจะช่วยผู้พิการ ทางการได้ยินให้ สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลทั่วไปได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้พิการทางหูและช่วยลดช่องว่างทางสังคม มีการพัฒนาให้สามารถใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ตและมือถือ รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ทั่วไป

          โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะแปล ข้อความภาษาไทยเป็นภาษามือ ช่วยสื่อการสอนภาษามือไทยสำหรับชาวต่างชาติได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ในระบบยังมีการสร้างท่าทางภาษามือไทยแบบสามมิติ และมีเกมสำหรับการเรียนรู้ภาษามือไทย

          ทั้งนี้ทางภาควิชาฯ จะมีการปรับปรุงและพัฒนาโปรแกรมให้เป็นพจนานุกรมภาษามือที่ครอบคลุมการสื่อสารสำหรับผู้พิการ ทางการได้ยินให้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันทางภาควิชามีการพัฒนาต่อเนื่องตลอดเวลา โดยเพิ่มข้อมูลในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ ระบบเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษามือไทยเบื้องต้น ระบบแบบฝึกหัดภาษามือไทยรวมไปถึง คำศัพท์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น

          ด้านนางสาวไพลิน พันธุ์ฉลาด นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิศวกรรมคอม พิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ. กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นมานั้น ได้เข้า ไปศึกษาข้อมูลที่โรงเรียนภูเก็ตปัญญานุกูล จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนผู้พิการทางการได้ยิน พบว่าสื่อที่ใช้สอนสำหรับผู้ที่มีความ บกพร่องด้านนี้มีหลายสื่อ แต่ยังไม่มีสื่อที่ สามารถออนไลน์ได้ทางอินเทอร์เน็ตและมือถือ เลยคิดพัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้คนหูหนวกได้มีโอกาสเรียนเพิ่มขึ้นในอีกหนึ่งช่องทาง โดยคนปกติก็สามารถเรียนได้ เพื่อที่จะได้สื่อสารกับคนหูหนวกได้อย่างรู้เรื่อง โดยโปรแกรมแบ่งคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน อาทิ พืช ผัก อาหาร การแต่งกาย สถานที่ จังหวัด ฯลฯ

          สำหรับจุดเด่นของโปรแกรมเมื่อคีย์คำศัพท์ลงไปและค้นหาข้อมูลแล้ว จะปรากฏ ออกเป็นทั้งภาพนิ่ง ไฟล์วิดีโอภาพเคลื่อนไหวภาษามือ และเป็นไฟล์เสียงออกมาด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งคนปกติและคนหูหนวก ในอนาคตจะพัฒนาโปรแกรมโดยการเพิ่มคำศัพท์ให้มากขึ้น จากที่มีอยู่เดิมประมาณ 700 คำ โดยในจำนวนนี้มีคำศัพท์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะประมวลผลคำศัพท์ออกมามีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คำบรรยายภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จำนวนทั้งสิ้น 500 คำ ส่วนที่เหลืออีก 200 คำจะพัฒนาให้สมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้จะเพิ่มแบบฝึกหัดในการเรียน รวมทั้งเพิ่มหลักการในการคำนวณทางคณิตศาสตร์เข้าไปด้วย

          อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางภาควิชาได้เปิดให้โรงเรียนที่สนใจนำโปรแกรมดังกล่าวไปทดลองใช้แล้ว โดยติดต่อได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาเขตภูเก็ต มอ. โทร. 0-7627-6000 หรือ 08-1696-8415.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=165244&NewsType=1&Template=1

แฟ้มข่าว: ทำเว็บ-บล็อกช่วยสร้างรายได้คนพิการ

หัวข้อข่าว : ทำเว็บ-บล็อกช่วยสร้างรายได้คนพิการ
พก.จับมือ คนทำเว็บ งัดทีมวิทยากร อบรมหลักสูตรอาชีพทำเว็บบล็อก เว็บไซต์ เพื่อสร้างรายได้บนอินเทอร์เน็ตครั้งที่1 ยังพบตั้งเป้าสร้างรายได้จริง …

เมื่อคนพิการไม่ได้ถูกทอดทิ้ง หรือจำกัดขีดความสามารถอีกต่อไป หลายฝ่ายสนัยสนุน นับจากนี้ ช่องว่างที่เคยเกิดขึ้นคงถูกปิดลง บริษัท พีดับบลิวดี เอาท์ซอส เมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นในการสร้างอาชีพให้กับคนพิการ ควบคู่กับการนำแนวคิดด้านการบริหารจัดการ และเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนาอาชีพ ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในการจัดโครงการอบรม “หลักสูตรอาชีพทำเว็บบล็อก เว็บไซต์ เพื่อสร้างรายได้บนอินเทอร์เน็ต” หรือ WeBlog Camp 2009 ครั้งที่ 1

เปิดรับสมัครคนพิการ เข้ารับการอบรมจำนวน 25 คน เป็นคนพิการจำนวน 20 คน คนปกติจำนวน 5 คน ระยะการฝึกอบรม 22 วัน ระหว่างวันที่ 16 ก.ค.2552 ถึง 21 ส.ค.2552 เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.30 น. – 16.30 น. ระหว่างการอบรมจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 160 บาท ค่าเดินทางวันละ 30 บาท หลังอบรมเสร็จ และโอกาสได้ร่วมงานกับทางบริษัทฯ หรือฝึกงานในบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอินเทอร์เน็ต

นางมยุรี ผิวสุวรรณ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมศักยภาพ และสิทธิของผู้พิการ สำนักงานส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ชี้แจงถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า การอบรมมีหลักสูตรที่แน่นอนจึงผลักดันเข้าสู่โครงการต้นกล้าอาชีพ โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากรัฐบาล และอยากให้ผู้พิการตั้งใจอบรมอย่างจริงจัง

ผอ.พก. เปิดเผยต่อว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)สำรวจผู้พิการ ปี2550 พบว่ามีจำนวน 1.9 ล้านคน หนึ่งในจำนวนนี้ ได้ขึ้นทะเบียน เพื่อรับสิทธิของคนพิการประมาณ 8 แสนคนทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2540 พม.มีนโยบายจะให้เบี้ยยังชีพ กับคนพิการครบทุกคนที่จดทะเบียน 500 บาท ต่อเดือน เพื่อสนับสนุนให้คนพิการเข้าถึงกิจกรรมทางสังคมเท่านั้น ไม่รวมกับเบี้ยผู้สูงอายุ

ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ หรือทีเคปาร์ค ชี้แจงความร่วมมือครั้งนี้ว่า โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในภาระกิจของทีเคปาร์คนอกจากนี้ ยังทำให้คนพิการพัฒนาศักยภาพ และความรู้ได้หลายส่วนรวมถึสามารถประกอบอาชีพ โดยเฉพาะบริษัทที่ให้ความร่วมมือทั้งหมด จะเป็นช่องทางให้ผู้พิการใช้ประกอบอาชีพหลังอบรมเสร็จ

นายอัครวุฒิ ตำราเรียง ประธานกรรมการ บริษัทมาร์เวลิค เอนจิ้น วิทยากรอบรมหลักสูตรจูมล่า แสดงความคิดเห็นว่า ขณะนี้ เรื่องทำเว็บไซต์สามารถรับมาทำที่บ้านได้ หรือที่ที่มีอินเทอร์เน็ตได้ เมื่อรู้ขอบเขตงาน นอกจากนี้ ยังมองว่าการทำงานของคนพิการไม่มีอุปสรรคกับถ้าใช้เครื่องมือให้คล่อง

“เราคุยอยู่กับฝั่งตรงข้าม ไม่รู้หรอกว่า คนนั้นเป็นเด็กผู้ใหญ่ หรือคนแก่ ส่วนความเข้าใจ ดูจากเนื้องหาที่จัดมาตั้งแต่ต้น มองว่าควรปูพื้นฐานทั้งหมดโดยเริ่มตั้งแต่ใช้คอมพิวเตอร์ ควบคู่กับพื้นฐานด้านการตลาด พร้อมกับความเข้าใจอินเทอร์เน็ต ก่อนจะลงมือใช้เครื่องมือเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเหล่านั้น” วิทยากรอบรมหลักสูตรจูมล่า กล่าว

นายปรีดา ลิ้มนนทกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดับบิวดี เอาท์ซอร์ส เมเนจเมนท์ จำกัด (ผู้ทุพพลภาพ) กล่าวถึงการคัดเลือกผู้พิการเข้าอบรมครั้งนี้ว่า ดูจากความตั้งใจ เนื่องจากเป็นโครงการเล็ก จึงต้องการประเมินจากโครงการแรกก่อนว่าประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกัน คาดว่าจะเพิ่มจำนวนได้ในครั้งต่อไป
“อยากให้โครงการแรกประสบความสำเร็จก่อน และให้คนพิการที่มาเรียน เกิดรายได้จริง การตลาดบนเว็บได้ ขณะเดียวกัน ต้องดูผลการเรียนครั้งนี้ การตั้งใจและนำคนกลุ่มนี้ โดยเน้นการประกอบอาชีพอิสระ ไม่ต้องมีหน่วยงานมารองรับ” กก.บ.พีดับบิวดีฯ กล่าว

นายปรีดา กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนตั้งใจ เหมือนอย่างตนเองเริ่มต้นจากความไม่เป็นมาก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้พิการที่เข้ารับการอบรมครั้งนี้ มีอายุตั้งแต่ 18-58 ปี นอกจากนี้ ยังพบว่าปัญหาที่พบผู้พิการหูหนวกสมัครเข้ามา จึงต้องใช้ล่าม และล่ามไม่มีความรู้ด้านอินเทอร์เน็ต งบประมาณที่ใช้ไม่เพียงพอ

เป็นเรื่องที่น่ายินดี เมื่อมีผู้จุดพลุเปิดประตูสู่การรายได้ให้กับผู้พิการ เพราะทุกคนเท่าเทียม กันในสังคม คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าความตั้งใจ เอาจริงเอาจังของผู้พิการจะเต็มเปี่ยมขนาดไหน แม้ว่าก้าวแรกของการเริ่มต้นจะเป็นพบอุปสรรคอยู่บ้าง แต่คาดว่าทุกฝ่าย คงใช้เป็นแนวทาง เพื่อปรับปรุงให้ก้าวที่สอง และก้าวต่อไปเดินได้อย่างราบเรียบ...

กนกรัตน์ โกวิชัย

itdigest@thairath.co.th

บทความจาก : ไทยรัฐ

วันที่ : 20 กรกฎาคม 2552
ที่มา : http://www.bcoms.net/article/detail.asp?id=874

น่าเสียดายที่อ่านข่าวนี้ช้าเกินไป แต่ไม่เป็นไร เมื่อวันที่ 14 /10/52 ก็เพิ่งไปลงทะเบียนเรียนการสร้างเว็บไซต์ ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จ.เชียงใหม่ มา ชำระค่าเรียนไป 1,000เรียน 30 ชั่วโมง ก็หวังว่าจะได้ความรู้มาพัฒนาและใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ได้ให้มากที่สุด ก็ละกัน

14 ตุลาคม 2552

มิตรภาพที่มากกว่าเพื่อน

รูปเนี่ย ถ่ายที่โรงแรม OASIS HOTEL อยู่หน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่
บรรยายใต้ภาพ: เอริ์ธเพื่อนรัก กะแฟน(พัดลม)  ก็เจ้ยังโสด หันซ้ายหันขวาเจอพัดลมก็ลากมาร่วมแจม
แถมพ่วงเอาเพื่อนลูกหนึ่งมาเคียงข้างบันทึกภาพให้จดจำกันซะหน่อย

เอริ์ธ ณธกมล รุ่งทิม เพื่อนที่แสนดีในชีวิต


ฮัลโหล สวัสดีจ๊ะ แม่น้องเจแปน เป็นไงบ้างจ๊ะ เจแปนแฟมิลี่ สบายดีไหม

เสียงทักทายเสียงใสแจ๋ว จากป้าเอริ์ธดังตามสายมา (อดีตเป็นแค่เอริ์ธ (เพื่อนสุดเลิฟ) ปัจจุบัน เลื่อนตำแหน่งเป็นป้า อย่างไม่ค่อยเต็มใจหนัก อิอิอิ)

ป้าอยู่ OASIS HOTEL ไม่

ทราบว่า พ่อน้องเจแปน ลูกเจแปน เจแปนแฟมิลี่ พอจะมาหาป้าได้ไหมจ๊ะ

ป้าเพิ่งมาถึงเชียงใหม่เมื่อเช้า (She มาอัดรายการ สถานีอนามัย ที่ON AIR ทางไทยทีวีน่ะ ) ซึ่งเราม่ะได้เจอกันตั้งแต่เจแปนบุตรชายของแม่ปอยยังเป็นวุ้นอยู่เลย

เราปะกัน(ปะ แปลว่า พบ)ที่โรงแรมแล้วไปต่อกันที่คาร์ฟู หม่ำๆ ส่งป้าshop (อ้อ ป้ามากะบอดี้การ์ดสาวเหลือน้อย นาม คุณยายหน่อย) และสนทนากันพอหอมปาก ก็ส่งป้ากลับห้องเพราะป้าต้องเตรียมตัว กะสคริปรายการที่ต้องอัดต่อพรุ่งนี้ (ใจจริงถ้าให้เราคุยกันเวลาแค่ช่วงวันช่วงคืนเท่าไร ก็ไม่พอหรอก) เราต้องลาจากด้วยความจำเป็น พบกันพอหายคิดถึง .....

ณ วันนี้ เอารูป ป้า หลาน กะ แม่ปอย มาอัพบล็อก พอเป็นน้ำจิ้ม เอาไว้สอบเสร็จนะ มีเรื่องราวดีๆ มิตรภาพระหว่าง ปอยกะเอริ์ธ มาเราให้อ่านยาวๆๆ เพราะเรื่องของเราสองคนต้องขยาย มีอะไรมากมายที่อยากถ่ายทอดและร่วมแบ่งปันให้กันอีกเยอะ คอยติดตามนะจ๊ะ

แนะนำ พอสังเขป ปัจจุบัน ป้าเอริ์ธทำงานเป็นล่ามภาษาอังกฤษ(กับศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ ) ส่วนใหญ่จะเป็นงานเกี่ยวกับคนพิการ และหนึ่งในผู้ดำเนินรายการสถานีอนามัย ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี ทุกวันอังคาร ส่วนเวลา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะบ่ายโมง หรือบ่ายโมงครึ่งโดยประมาณ

05 สิงหาคม 2552

มองนิค วิจิซิค แล้วย้อนมองตัวเอง


ต้องขอบพระคุณพระเจ้าที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงใช้ นิค วิจิซิค ให้กำเนิดมาเพื่อเป็นพยานที่ดีเยี่ยม
เมื่อได้อ่านเรื่องราวชีวิตของคุณนิค แล้วอดไม่ได้ที่จะย้อนมองชีวิตของตนเอง แม้ชีวิตของเรามีความต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้รับเหมือนๆ กัน นั่นก็คือ พระกรุณาจากพระเจ้าที่ส่งให้เรามีชีวิตที่บังเกิดใหม่และความรอด พระกำลัง และโล่กำบังภัย กับชีวิตใหม่ที่พระองค์ทรงไถ่ให้เราทั้งหลายพ้นจากบาป และเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณ และตามอย่างพระองค์ แม้ไม่ง่ายที่จะเป็นได้ดั่งพระองค์แต่การมีความหวังใจเสมอ ก็ทำให้กระดูกนั้นชุ่ม ชีวิตก็ยืนยาว
ผู้ที่เป็นคริสเตียนเหมือนกัน อ่านข้อความพรรณาข้างต้น คงไม่งง หรือสงสัย แต่ผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนอาจจะสงสัยบ้างก็ไม่แปลก สั้นๆ ง่ายๆ ชีวิตที่มีแต่สันติสุขนั้นเริ่มต้นมาจากการรู้จักพระเจ้านั่นเองล่ะค่ะ

Nick Vujicic แสงไฟในตะเกียงที่พระเจ้าประทาน

นิค วูจิซิค Nick Vujicic (รวมคลิปและภาพ)เป็นชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา นิค วูจิซิคเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้น
แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา

"No arms, No legs, No worries"An amazing story of faith in adversity. If Nick's story doesn't convince us about God's love & His power & what faith can do, then nothing else will.เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะ อันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้วMy name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth "defect". As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles.ผมเกิดมาโดยที่ไม่มี แขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย"Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds.""คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"

....To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well....ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดีHowever, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was "Praise God!".อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.ลูก ชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆThe whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, "if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?" My Dad thought I wouldn't survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง
Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I'd be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school.พ่อแม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้ เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้The law in Australia didn't allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school.กฎหมาย ในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่อง ทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมาย เพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับ หน้าI liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times.ผม ชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความ ท้าทายนั้น

I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn't go to school just so I didn't have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends.ผมรู้ ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่There were times when I felt depressed and angry because I couldn't change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn't understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I'm the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it'd be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength.มีบางเวลาที่ผมรู้สึก หดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและ พระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผม รู้สึกดีและเข้มแข็ง
Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing.เนื่องจากการต้องดิ้นรนใน ด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อ ช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็น พระพรTo encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams.One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง

"And we know that in all things God works for the best for those who love Him."That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these "bad" things happen in our life."และเรารู้ ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเราI had complete peace knowing that God won't let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.Jesus said that the reason the man was born blind was "so that the works of God may be revealed through Him." I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it's God's will, it'll happen in His time. If it's not God's will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can't be used.ผมได้พบกับความสงบอย่างสมบูรณ์ในการได้ รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิด มาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็น สิ่งที่คนอื่นไม่มีI am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today's teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผม และเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อ ที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย

I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow.ผมมี ความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตามI have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God's Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the "Oprah Winfrey Show"!Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called "No Arms, No Legs, No Worries!"ผม มีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระ เจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่อง ราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"!การได้เขียนหนังสือหลาย เล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"

I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it's God's will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What's worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a "box".The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can't do anything without Him. Once we make ourselves available for God's work, guess whose capabilities we rely on? God's!ผม เชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง"สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือ การที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!
ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น ไปอ่านสเปซของเขาได้ที่http://www.myspace.com/lifewithoutlimbs

คลิปของ Nick Vujicic ชมแล้วได้กำลังใจใช้ชีวิตต่อไป ขึ้นอีกเยอะ

12 มิถุนายน 2552

เพื่อนผู้พิการ(จากขอนแก่น)


คุณมงคล เป็นหนึ่งในเพื่อนผู้พิการที่ตัดสินใจเดินทางจากข่อนแก่นเพื่อมาทำขาเทียมไกลถึงเชียงใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพและฝีมืออันชำนาญของเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิขาเทียม นั่นเอง


สัมภาษณ์คร่าวๆ ทราบว่า คุณมงคลพิการมาแต่กำเนิดแต่ได้สวมกายอุปกรณ์เทียมมา นานกว่า 25 ปีแล้ว ปอยอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่คุณมงคลสามารถเดินได้ดีขนาดนี้ เพราะขนาดปอยขาขาดข้างเดียวว่าลำบากแล้วนะ นี่ 2 ข้าง โอ้โห ยกนิ้วให้ในความพยายามและอุตส่าหะ

11 มิถุนายน 2552

ไปทำขาเทียมที่มูลนิธิขาเทียมมาล่ะ


ไม่ได้เข้ามาอัพบล็อกเลย เพราะไปทำขาเทียมข้างใหม่ที่มูลนิธิขาเทียมมาเมื่อต้นเดือน(มิ.ย. 2552)

ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มใจและเป็นพระมหากรุณาที่สมเด็จย่าและทั้งสมเด็จพระพีนางทรงมีพระเมตตาต่อผู้พิการแขนขา หากไม่มีทั้ง 2 พระองค์ ข้าพเจ้าและเพื่อนคนพิการท่านอื่นอีกมากมายก็คงไม่มีปัญญาทำขาเทียมข้างใหม่ได้แน่ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ เฉพาะราคาค่าเท้าเทียมก็4-5,000 บาทได้ ไม่รวมค่าเบ้าและอื่นๆ อีก ข้าพเจ้าและเพื่อนคนพิการต้องขอกราบขอบพระคุณในพระมหากรุณานี้ รวมทั้งนายแพทย์และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิขาเทียมทุกๆ ท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าเป็นอย่างดี (หากข้าพเจ้าใช้ถ้อยคำใดๆ ในบทความนี้ไม่เหมาะต้องกล่าวคำขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย)

29 เมษายน 2552

ไอเดีย การบริจาค ให้มูลนิธิเด็กอ่อนพญาไท


ปอยได้เข้าไปอ่านบล็อกของ เปิ้ลกับศิระ ซึ่งบล็อกนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางของข้อมูลต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อการทำความดีของเพื่อนๆ อย่างเช่นการบริจาคเงินและสิ่งของให้แก่ผู้ที่กำลังประสบปัญหาและมูลนิธิต่างๆ ทั้งมูลนิธิเด็ก คนชรา สัตว์ทั้งหลายที่ถูกทอดทิ้ง
โดยร่วมแชร์ประสบการณ์การทำความดี ไปบริจาคยังที่ต่างๆเอาไว้ทั้งยังมีข้อมูลการติดต่อ แผนที่ และสิ่งต่างๆมากมายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกการทำความดีของเพื่อนๆ
จึงอยากร่วมประชาสัมพันธ์และขอชื่นชมน้ำใจอันดี ของน้องเปิ้ลและศิระ ทั้งพ้องเพื่อนที่สร้างบล็อกดีๆ แนวคิดดีๆ การกระทำดีๆ อย่างนี้


ที่มา: http://donationexp.wordpress.com/2007/06/03/phayathai-
เบอร์ติดต่อ มูลนิธิบ้านเด็กอ่อนพญาไท
Tel: +66 (0) 2584-7254-55Fax: +66 (0) 2584-7264
ที่อยู่และแผนที่มูลนิธิบ้านเด็กอ่อนพญาไท
Phayathai Babies’ Home78/24 Phumwet Road, Bangtalat, Pakkret, Nonthaburi 11120 Thailand.babies-home/

ร่วมบริจาค อลูมิเนียม (ห่วงฝากระป๋อง วัสดุเหลือใช้ ประเภทอลูมิเนียม ฯลฯ)


ข้อมูลเรื่อง อลูมิเนียมที่มูลนิธิขาเทียมได้รับบริจาค
มูลนิธิขาเทียมฯ ขอขอบคุณในกุศลจิตของท่าน ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในการช่วยเติมชีวิตให้เต็มแก่ผู้พิการขาขาดที่ด้อยโอกาส ให้สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดสู้ชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ไม่เป็นภาระแก่สังคมและกลับมาเดินได้อีกครั้งหนึ่ง

อลูมิเนียม อาทิ ฝาเปิดกระป๋องเครื่องดื่มต่างๆ ฝาตลับแป้งอลูมิเนียม ฝาจุกน้ำดื่มที่ผลิตมาจากอลูมิเนียม กระป๋องน้ำอัดลม กระป๋องเบียร์ หม้อ กะทะอลูมิเนียมเก่าๆและขยะอลูมิเนียมอื่นๆที่ผลิตจากอลูมิเนียม ยกเว้น กระป๋องกาแฟ และกระป๋องนมสดต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของเหล็ก จะไม่สามารถนำมาใช้ได้
อลูมิเนียมดังกล่าวข้างต้น จะนำมาหลอมผลิตเป็นวัสดุ อุปกรณ์และชิ้นส่วนในการทำขาเทียม ดังนี้
1. ตัวปรับความเอียงของเบ้า (coupling) บนอุปกรณ์จัดแนว เพื่อให้ขาเทียมติดกับแกนหน้าแข้ง

2. ตัวยึดเบ้า เป็นน็อตสำหรับยึดเบ้าให้ติดกับอุปกรณ์ปรับความเอียงและอุปกรณ์ปรับแนว

3. ข้อตะโพกเทียม สำหรับผู้ป่วยที่ตัดขาระดับข้อตะโพก

4. ข้อเข่าหลายจุดหมุน(Poly centric knee unit) สำหรับผู้ป่วยที่ตัดขาระดับข้อเข่า

5. ไม้เท้า (cane) สำหรับผู้สูงอายุทั่วไปและไม้ค้ำยันท่อนแขน (Forearm crutch)
สำหรับผู้พิการขาขาดที่ยังไม่ได้รับขาเทียม

6. วอกเกอร์ (walker) สำหรับผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับขาเทียมและผู้ที่ได้รับขาเทียมครั้งแรก
ซึ่ง ยังไม่มีความมั่นคงในการเดิน

7. น็อต แหวนและสกรู จะเป็นตัวช่วยสำหรับยึดอุปกรณ์ปรับความเอียงของเบ้าและอุปกรณ์
ปรับแนว

ปัจจุบันมูลนิธิขาเทียมฯ ได้รับบริจาคอลูมิเนียมเป็นจำนวนมากทั้งจากในและต่างประเทศ ก่อให้เกิด
ปัญหาในการจัดเก็บอลูมิเนียมไม่เพียงพอกับความต้องการ เป็นภาระทางการเงินแก่มูลนิธิฯเช่น ต้องเช่า
สถานที่ในการจัดเก็บอลูมิเนียม ต้องจัดจ้างคนงานมาทำการคัดแยกขยะอลูมิเนียม ต้องจ้างโรงงานในการ
หลอมอลูมิเนียมให้เป็นแท่งและยังต้องหาโกดังเก็บแท่งอลูมิเนียมเหล่านี้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว
คณะกรรมการมูลนิธิขาเทียมฯ มีมติให้นำอลูมิเนียมดังกล่าวไปแลกกับอลูมิเนียมเกรดที่ดี เป็นเกรดเดียวกับ
อลูมิเนียมที่นำมาทำเครื่องยนต์ ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทานมาก สามารถรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
เอามาทำเป็นชิ้นส่วนอลูมิเนียมที่แข็งแรงทนทาน เมื่อต้องการผลิตชิ้นส่วน และเมื่อไม่ต้องการผลิตชิ้นส่วน
ก็ให้จำหน่ายเศษอลูมิเนียมทั้งหมด นอกจากจะไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าที่เก็บอลูมิเนียม ค่าจ้างหลอมอลูมิเนียม
ค่าเช่าโกดังเก็บแท่งอลูมิเนียมที่หลอมแล้ว มูลนิธิฯยังได้เงินเพื่อจะนำไปทำขาเทียมให้แก่ผู้พิการขาขาด
ที่ยากไร้ด้อยโอกาส โดยไม่เลือกเชื้อชาติและศาสนา ซึ่งก็เป็นการช่วยให้ผู้พิการขาขาดได้มีขาเทียมใช้
ได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น

สถานที่ที่เข้าร่วมโครงการรับบริจาคอลูมิเนียมให้กับมูลนิธิขาเทียมฯ
1. Big C ทั่วประเทศและ Lotus บางสาขา
2. หน่วยงานที่สังกัดกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมป่าไม้
กรมอุทยานแห่งชาติ กรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมเป็นต้น
3. โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ
4. บริษัทบางกอกแคน แมนูแฟ็คเจอริ่ง จำกัด
เลขที่ 1,13 ซอยรังสิต นครนายก 46
ต. ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี
จ. ปทุมธานี 12130 โทร. 02-5330277
บริษัทดังกล่าวจะเป็นผู้รวบรวม คัดแยกอลูมิเนียมทั้งหมดและส่งโรงงานหลอมอลูมิเนียม
5. บริษัท แอล ที อี ซี จำกัด (นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ. ลำพูน)
6. "มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี"
199 ม. 4 ต. ดอนแก้ว อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ 50180
โทรศัพท์ (053) 112271-3 แฟกซ์ (053) 112275
"มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี"
อาคารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ข้างโรงพยาบาลหัวเฉียว)
693 ถ. บำรุงเมือง แขวงพลับพลาชัย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทรศัพท์ (02) 2265666 ต่อ 2600

(ตู้รับบริจาคอลูมิเนียมที่ทางบริษัทบางกอกแคน แมนูแฟ็คเจอริ่ง จำกัด มอบให้มูลนิธิขาเทียมฯ)

ขาเทียม 1 ขา จะมีส่วนประกอบของขาเทียมที่ผลิตมาจากอลูมิเนียมประมาณ 10-20 % ส่วนที่เหลืออีก
80-90 % จะผลิตมาจากพลาสติกชนิดต่างๆ เช่น เบ้าพลาสติก ข้อเข่าเทียม แกนหน้าแข้งและเท้าเทียม ซึ่งมูลนิธิฯ
จะต้องจัดซื้อมาใช้และขณะนี้พลาสติกก็มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากท่านมีความไม่สะดวกในการจัดส่ง
ท่านอาจจะรวบรวมอลูมิเนียมที่จัดเก็บได้ไปจำหน่ายร้านรับซื้อของเก่าและนำเงินดังกล่าวโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์
ชื่อ “มูลนิธิขาเทียม”
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาชิดลม เลขที่บัญชี 001-4-76000-8
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาคณะแพทย์ศาสตร์เชียงใหม่ เลขที่บัญชี 566-2-50375-3
ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนสุเทพ เลขที่บัญชี 471-2-02394-0
ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสุเทพ เลขที่บัญชี 504-0-15260-4
ซึ่งมูลนิธิฯจะนำเงินดังกล่าวมาใช้ในการทำขาเทียมให้ผู้พิการขาขาดตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิขาเทียมฯ ต่อไป ที่มา: http://www.prosthesesfoundation.or.th/original/indexTH.htm

28 เมษายน 2552

ข่าวดี FREE สำหรับเพื่อนผู้พิการเหนือเข่า

ขาเทียมสำหรับผู้พิการขาขาดตั้งแต่เหนือเข่า free
Ai
เมื่อ : พุธ 29 เมษายน พ.ศ.2552 เวลา 05:29 น.


ขาเทียมสำหรับผู้พิการขาขาดตั้งแต่เหนือเข่า free
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำนักงานคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 มือถือ : 08-1809-4631 , 08- 3913-3504 KING MONGKUT'S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THONBURI OFFICE OF THE DEAN, FACULTY OF ENGINEERING 126 Prachautit Rd. Bangmod Tungkru Bangkok 10140 Thailand Mobile: 08-1809-4631 , 08- 3913-3504 เรียน พี่ๆ น้องๆ และ เพื่อนที่เคารพ ส่งต่อหน่อย Thank you ทราบจากคุณวุฒิวงศ์ผู้เป็นเจ้าของ บริษัท วงศ์ธนาวุฒิ จำกัดว่า ได้ร่วมกับ เพื่อนๆ ประดิษฐ์ขาเทียมสำหรับผู้พิการขาขาดตั้งแต่เหนือเข่า โดยเป็นเพียงรายเดียวที่สามารถประดิษฐ์ขาเทียมให้ผู้ที่สวมสามารถงอขานั่งพับเพียบและเดินได้เช่นคนปกติ ทำให้ผู้พิการทุกคนที่ต้องการ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คุณวุฒิวงศ์ไม่ต้องการรับเงินบริจาคแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการความช่วยเหลือ โดยหากท่านพบผู้พิการในถิ่นห่างไกลที่ต้องการขาเทียม โปรดช่วยจดชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ให้แก่คุณวุฒิวงศ์โดยตรง ที่โทรศัพท์ 081-847 - 9374 ขออนุโมทนาในความเมตตาของทุกท่าน สาธุ... สาธุ...สาธุ ขอผลบุญที่พวกท่านได้ กระทำใน วันนี้ จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวอยู่ เย็นเป็นสุข และมีความสุขตลอดไป
ที่มา: http://www.dekabac.com/board/show.php?Category=FUN&No=1074
สำหรับผู้อ่าน (กรุณาบอกต่อ เพื่อร่วมช่วยกัน ต่อเติมร่างกายผู้พิการให้สมบูรณ์ด้วยนะคะ)
และขอเป็นตัวแทนเพื่อนผู้พิการขาขาด ขอบพระคุณ คุณวุฒิวงศ์ และเพื่อน ที่มีภาระใจให้ความช่วยเหลือ เพื่อนผู้พิการเสมอมา ขอพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านและผู้เป็นที่รักประสบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิตค่ะ

27 เมษายน 2552

วันคริสต์มาส ณ โบสถ์สันติธรรม ปี 51










ลำดับภาพ(จากซ้ายไปขวา) ลูกเจแปน พ่อแจน แม่ปอย
ณ โบสถ์สันติธรรม จ.เชียงใหม่
ภาพถ่ายในวันคริสต์มาส คริสต์มาส 25 Dec 08

บทความเพิ่มเติม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คริสต์มาส หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christmas Day หรือย่อ ๆ ว่า XMas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งคริสต์ศาสนา ซึ่งเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี พระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน
ประวัติ
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

02 เมษายน 2552

ตอนที่ 2 หลังนาทีชีวิต


หลังจากที่คนขับรถวางปอยลงบนเตียงฉุกเฉิน ปอยยังมีสติอยู่ แล้วปอยก็ยืนบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ไปเพื่อให้เขารู้ว่าปอยเป็นใคร การปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงเริ่มขึ้นพร้อมๆ กับความเจ็บปวดของบาดแผลที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้นมีเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถามขึ้นว่า คุณชื่อ พรพรหม ใช่ไหมครับ คำถามนี้ทำให้ปอยฉุนมากเลย เพราะปอยได้ยื่นหลักฐานแสดงตัวไปแล้ว จึงตะโกนไปด้วยความโกรธว่า"ก็เอาบัตรประชาชนให้แล้วไง ถามอยู่ได้" ตำรวจนายนั้นจึงเงียบไป และขณะใดนั้นเอง ปอยก็รู้สึกเจ็บที่ขามาก เพราะอะไรน่ะหรอ ก็คุณพยาบาลน่ะสิค่ะ เธอพยายามดึงกางเกงวอร์มของปอยออก โดยที่ขอบยางยืดของเอวกางเกงกระชากคราดแผล โทสะเริ่มทวีขึ้น และตะโกนบอกพยาบาลไปอีกว่า " ทำไมไม่เอากรรไกรตัดเล่า เจ็บจะตายอยู่แล้ว " พยาบาลก็ตกใจและรีบเอากรรไกรมาตัดขากางเกงปอยออกทันที
และรายการทวนทรัพย์สินจากพยาบาลอีกรายจึงเริ่มขึ้น "มีนาฬิกา 1 เรือน กับทอง 1 เส้นใช่ไหมค่ะ" ด้วยความมีสติอยู่บ้างจึงบอกไปว่า " มีเงินในกระเป๋ากางเกงอีก ซึ่งตอนนั้นจำได้แม่นว่ามีจำนวนเท่าใด"(แต่ตอนนี้ระลึกความทรงจำ ไม่อาจจำได้แล้ว)เงินเกือบสูญไปละ เพราะเงินที่มีนั้นมันไปอยู่ในถังขยะพร้อมกับกางเกงวอร์มที่ถูกตัดไปก่อนหน้านั่นนั้นเอง ย้อนทบทวนก็น่าเสียใจ และต้องขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคุณพยาบาลที่ปอยแสดงอาการไม่น่ารักออกไป เพราะเขาก็ทำตามหน้าที่ ปอยต้องกราบขอโทษจริงๆ นะคะ ปอยเองก็ได้แต่ระลึกถึงเสมอเท่านั้น แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันเป็นหน้าที่ และเราก็เจ็บแผลมากเลยพลั้งไปก็ตาม
หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปอยถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เมื่อไปถึง เจ้าหน้าที่เข้ามาแกะดูบาดแผล และเวลาต่อมาปอยถูกปฏิเสธการรักษา แม่ปอยอยู่ในสภาพที่ยังตื่นตระหนก อิดโรย และเหนื่อยอ่อนมาก แม่สวมชุดนอนและรองเท้าแตะที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เหตุผลที่โรงพยาบาลให้มาคือ เครื่องมือไม่พร้อม แม่ต้องพาออกมาจากโรงพยาบาลนั้น ไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด เข้าผ่าตัด กว่า 5 ชั่วโมง พักรักษาตัวอยู่ 2 วัน กับการทานยาแก้ปวดและล้างแผลไปวันๆ รอห้องผ่าตัด อาของปอยขึ้นมาจากกรุงเทพฯด้วยความเป็นห่วง แม่และอาตัดสินใจพาตัวปอยย้ายไปรักษาตัวที่เชียงใหม่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ระยะเวลาในการรักษาเกือบ 3 เดือน ด้วยอาการกระดูกขาขวาหัก เข้าเฝือกไป ร่วมเดือนผลเอ็กซเรย์ออกมากระดูกไม่ติดกันเพราะเก่ยกันอยู่จึงต้องผ่าตัดและดามเหล็กเย็บไป 14 เข็ม กล้ามเนื้อส่วนต้นขาถูกบดเละหายไปบางส่วนทำให้ขาซ้ายส่วนปลายใต้เข่าลงไปไม่สามารถควบคุมได้และเน่าตายในเวลาต่อมา .............. ประมาณว่า ขาตายไปก่อนตัวน่ะเอง (มันตายตั้งแต่อยู่ที่เชียงรายแล้วล่ะ)มาถึงเชียงใหม่ก็ต้องตัดสถานเดียว

มาถึงขั้นตอนการล้างแผลก็ล้างแผลสด ไม่มียาชาหรือตัวช่วยใดๆ มีแต่ใจที่ข่มไว้เท่านั้น ปอยใช้เทคนิคพิเศษ จะนำไปใช้บ้างก็ไม่ว่ากัน ปอยจะกัดฟันเอาไว้ มือจับเตียงให้แน่น และบอกว่าไม่เจ็บทนไหวในจังหวะที่น้ำยาเบต้าตีนราดลงไปที่แผล และช่วงเวลาเหล่านั้นก็ผ่านไป จนใครๆ ให้สมยานามปอยว่า "หญิงเหล็ก" ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม มีผิดคิวด้วยนะ แบบว่า เม้าส์กระจายทั้งผู้ช่วยทั้งคนไข้ต่างลืมตัว ผู้ช่วยก็ราดแผลอีตอนที่ปอยอ้าปากโม้อยู่พอดี เสียงกรี๊ดนี้ดังสนั่น มันเกิดอะไรขึ้น ผู้ช่วยและพยาบาลข้างนอกชะโงกหน้ามาดูที่กระจกตรงประตู
พอทำแผลเสร็จ ฮาจะตาย นั่งขำกะพี่บุรุษพยาบาล ว่าวันนี้ปอยออกคอนเสริ์ต กรี๊ดซะดังลั่น หลังจากร่างกายสร้างเนื้อเยื่อและรักษาตัวเองใกล้หายดี ทางโรงพยาบาล นำรูปโพราลอยด์มาให้ปอยดูถึงบางอ้อ รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงบอกว่าปอยเป็น"หญิงเหล็ก" ก็แผลมันลึกไปถึงชั้นกระดูกและเอ็นเลยแผลกว้างมาก น่าอัศจรรย์กับการเยียวยาของร่างกายมนุษย์ที่ถูกสร้างมาได้เจ๋งจริงๆ และได้รู้ถึงอิทธิพลของอำนาจจิตที่มีพลังยับยั้งความเจ็บปวดได้มากถึงเพียงนี้ (ปอยได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาให้ศึกษากันด้วยลองอ่านดูนะคะ)
อำนาจจิตข่มเจ็บปวด ฤทธิ์เท่ามอร์ฟีนอย่างแรง
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯกล่าวว่า มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันอย่างแข็งแรงว่า ใช้อำนาจจิตข่มดับความรู้สึกเจ็บปวดได้ มีอานุภาพไม่แพ้มอร์ฟีน ดับความรู้สึกเจ็บทรมาน และยังถ่วงสมองบางส่วนที่มีหน้าที่สั่งให้เกิดความเจ็บปวดเพลาลงด้วย
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวค ฟอร์เรสท์ กล่าวว่า พบในการศึกษาว่าแค่เพียงแต่นึกให้เจ็บปวดน้อยลง ก็ทำให้มันเกิดเป็นจริงได้
ดร.โรเบิร์ต คอกฮิลล์ กับคณะ รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “สมาคมวิทยาศาสตร์อเมริกา” กล่าวว่า จากการศึกษาทดลองกับอาสาสมัครที่มีรูปร่างแข็งแรงปกติ โดยใช้ของร้อนๆแตะที่ขา เพื่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ไม่ร้อนจนเป็นอันตราย พร้อมกับใช้เครื่องตรวจสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูง ตรวจดูปฏิกิริยาของสมองไปด้วย
ดร.คอกฮิลล์กล่าวว่า เมื่อใดที่พวกเขาคาดหวังว่า จะถูกของร้อนแต่น้อย ก็จะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดน้อยไปด้วย ความคาดหวังเช่นนี้ ช่วยให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงได้มากถึง 28% ฤทธิ์เท่ากับได้ฉีดมอร์ฟีนอันเป็นยาระงับปวดอย่างแรงทีเดียว ขณะเดียวกัน สมองซึ่งมีส่วนสำคัญในการรับความรู้สึกและอารมณ์ก็เพลาปฏิกิริยาลงไปด้วย
เขาชี้ว่า “ความรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้เกิดจากสัญญาณ ที่มาจากร่างกายส่วนตรงที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียวจึงไม่พอจะระงับความเจ็บปวดได้ เนื่องจากสมองสามารถจะสร้างความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาได้ และเราก็อยากจะหาทางใช้พลังนี้ให้เป็นประโยชน์ขึ้น”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่ 173978/9/2005

01 เมษายน 2552

(ชีวิต 2 เด้ง)ตอนขาคนมะช่ายหางจั๊กกิ้ม

ชีวิต 2 เด้ง
ปอยว่านะ ไม่มีใครโชคดีอย่างปอยได้บ่อยๆ นักหรอก
ทำไมน่ะเหรอ อ้าว! ก็ลองคิดดูสิ ในหนึ่งชีวิตของเราจะแสดงได้สักกี่บทบาทกัน
ปอยมีโอกาสได้เป็นทั้งคนปกติ และ คนพิการ ได้เรียนรู้ความต่าง และสังคมที่หลากหลาย
ไม่ง่ายนะ ที่จะปรับตัวแต่ไม่ยากที่จะยอมรับ

วันแรกที่ปอยรู้ตัวว่าต้องตัดขา สิ่งแรกที่ปอยคิดก็คือ ชีวิตเป็นของเรา อย่าเศร้า อย่าเสียใจ ร้องไห้ไปก็เท่านั้น มันจะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราจะเข้มแข็ง และแบ่งกำลังใจให้คนรอบข้าง สร้างความเข็มแข็งให้จิตใจ ไม่อ่อนแอน่ะ เพราะถ้าเราอ่อนแอ แม่เรา พี่ชายเราและญาติพี่น้อง คนรอบข้าง ก็พาลหดหู่ไปหมดไม่ทำใจให้หมองมัวเศร้ากับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ไม่ได้อวดเก่งนะ แต่ไม่มีน้ำตาออกมาจากเหตุที่สูญเสียขานี้หรอก
ไม่มีทาง ด้วยสโลแกน "ขาคนไม่ใช่หางจิ้งจก ร้องไห้ให้น้ำตาท่วมโลกขามันก็ไม่งอกใหม่ได้หรอก"
จำได้ว่า พอคุณหมอบอกว่า "คงต้องตัดขานะครับ" ปอยก็รับคำและรับรู้ ก็แค่นั้น รอวันเข้าห้องผ่าตัด

มีเรื่องน่าขันเล่าให้ฟังด้วยนะ ตอนเข้าผ่าตัดน่ะ จำได้ว่า วิสัญญีแพทย์เข้ามาบล็อกหลัง ไอ้เราก็เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีหรือเปล่าม่ะรู้นะ แต่เจอใครเราก็อยากสัมภาษณ์พูดคุยกะเค้าไปทั่ว

"คุณหมอคะ คุณหมอทำงานนี้มากี่ปีแล้วคะ", "เหนื่อยไหมคะ ยากหรือเปล่า", "คุณหมออายุเท่าไร" ,"ยังดูสวยไม่ค่อยแก่เลยนะคะ" และก็อื่นๆๆ อีกมากมาย จบท้ายด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา และหยุดเม้าในเวลาต่อมา เพราะยาออกฤทธิ์ คิดแล้วก็ขำ มันจ้อได้ไง ไม่สนใจเลยหรอว่า หมอเค้าจะทำอะไรกะขามั้ง.................. รู้ตัวอีกครั้ง ถูกบดบังทัศนียภาพของห้องผ่าตัดอันแสนแปลกตา ด้วยผ้าเขียวผืนหนึ่ง ยังเห็นแสงลอดผ่านอยู่รำไร กะเสียงอะไรที่ตามมาอยู่หลังผ้าเขียวผืนเดิม
คืด คาด ๆ ๆ ๆ (ไส่เสียงเอฟเฟ็กถูกอ่ะเปล่าเนี้ย เอาเป็นว่า เสียงนั้นก็คือ เสียงเลื่อยน่ะเอง)
คุณหมอเค้ากำลัง เลื่อยกระดูกขาเราอยู่น่ะสิ (รู้สึกตัวเป็นระยะนะ) ตอนนั้นยังไม่เจ็บหรอก ยายังสำแดงฤทธิ์อยู่ จากนั้นก็รักษาไปตามสเต็ป (โปรดติดตามตอนต่อไป)

ภาษาวันละคำวันนี้เสนอคำว่า จั๊กกิ้ม
จั๊กกิ้ม เป็นคำเมือง (ภาษาเหนือ) หมายถึง จิ้งจก

30 มีนาคม 2552

ทำไมถึงพิการ

โอ้โห้ ! ถ้าจะให้เล่ายาวๆ ปอยคงเล่าไม่หมด แต่ถ้าให้เล่าแบบทด ๆ เอาไว้ก่อน แล้วค่อยๆ แจงที่ละขั้นน่ะพอได้ค่ะ
ทุกครั้งที่ปอยก้าวเท้าออกจากบ้านแล้วเดินทางไปนั่นนี่นู้น
ปอยก็มักจะเจอคำถามที่ว่า " ขอโทษนะคะ/ครับ ขาเป็นไรหรอคะ/ครับ"
ปอย: " อ๋อ รถทำถนนชนน่ะค่ะ " "รถคันเหลืองๆ น่ะค่ะ"
ผู้ถาม: "หา ทำไงให้ชน"
ปอย: " ก็จอดรถอยู่ น่ะ แล้วมันก็ถอยรถเข้ามาชนน่ะค่ะ เงยหน้ามาก็ห่างจากตัวเราถึงเมตร กระโดดก็ไม่ได้ ใช้รถมอไซด์คุ้มไปนิด บรรทุกของมาเต็มกำลัง (คือ บ้านขายของน่ะค่ะ ) จะเอาขนมปังปีบไปคืนยี่ปั๊ว วางที่หว่างขาอันหนึ่ง ด้านหลังอันนึง บล็อกไว้เลย เครื่องยนต์มันก็ดัง เสียงแตรไม่ช่วย ขนาด มีคนโบกมืออยู่หน้ารถมันยังไม่หยุดเลย ก็เลยถูกชนเข้าเต็มแรง"
ผู้ถาม: "สลบเลยซินะคะ /ครับ เป็นไงบ้าง"
ปอย:" ไม่สลบหรอกคะ ชนปุ๊บมันวูบไปแว็บเดียวรู้สึกตัวอีกที ก็ลืมตาเห็นท้องรถอยู่ตรงหน้าเรา มองลอดขึ้นไปยังเห็นคนขับ สับเกียร์ กึกกัก อยู่ตรงหน้า เรามีสติตลอด ตลอดการเดินทางไป รพ. ตลอดการรักษาเลย ผูผู้ถาม: " หา..............................ตายจริง ! " ทำหน้าตาหวาดเสียว กลืนน้ำลาย ดังเอื้อก หน้าสลด ดูหดหู่ อยู่ตรงหน้าปอย(แฮ่ะๆๆ ชินละ คือ ตั้งแต่ถูกรถชน ฉายซ้ำบ่อยหลายก็อปปี้ละ 555555555 )
ปอย: "ไม่ตายค่ะ แค่พิการ โชคดีที่สวมหมวกกันน็อคไม่งั้นคงพังทั้งรถทั้งคน รถมอไซด์ สภาพบิดเบี้ยวเป็นเลขแปดเลยค่ะ เลือดงิ เจิ่งนอง แทบหมดตัว ระหว่างทางที่เดินทางไป ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้า ของคนขับรถที่ชนเรา คือ ไทยมุงเยอะ เขาหนีไม่ได้เลยอุ้มซ้อนมอไซด์รับจ้าง ไปโรงพยาบาลด้วยสภาพที่ ขาห้อยต๊องแต่ง ตอนนั้นยังไม่เจ็บ แค่ชาๆ แต่จะมาเจ็บเอาตอนทำแผลนี่ล่ะค่ะ พอถึงโรง'บาล ก็ล้วงกระเป๋าตัวเองเข้าไปหยิบเป๋าตังค์เอาบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่โรง'บาลดูทันที"

โปรดติดตามตอนต่อไป

ที่มาที่ไป ของ Blog Oneleg

ก่อนอื่นขอแทนตัวเองว่า ปอย ละกันนะคะ จะได้คุยกัน กันเองๆ หน่อย

คงจะสงสัยกันสินะคะว่า ทำไมต้อง Oneleg ปอยตั้งใจจะบอกถึงคาเร็กเตอร์ ตัวตนของปอยให้ชัดเจนน่ะค่ะ แต่ก็ไม่อยากใช้คำที่มันดู Out อยากให้มันดูดี ไม่หดหู่น่ะ ถ้าให้ใช้คำว่า พิการ หรือ THE PHYSICALLY HANDICAPPED ก็ดูวิชาการซีเรียสไปซักหน่อย อยากเก๋ไก๋ หัวใจแฮปปี้น่ะ
เอาเป็นว่า ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะคะ ว่าปอยน่ะ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีขาข้างเดียว ถ้าให้ดูวิชาการนิดหนึ่ง ก็ประมาณ เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว ระดับ 3 ล่ะค่ะ
โอเคนะ ที่มาของชื่อบล็อกก็บอกละ แล้วคิดไงมาทำบล็อกก็เพราะว่า เมื่อวันที่28/3/209 ปอยไปฟังคำบรรยาย ของ อ.ดร.ธาตรี ใต้ฟ้าพูล ท่านบอกว่า blog เป็นหนึ่งในช่องทางทางเราสามารถสร้างเครือข่ายได้ blog บางblog ก็เริ่มต้นจาก blog เล็ก ๆ มีผู้ติดตาม หรือผู้ร่วมแจมไม่เท่าไร จนขยายใหญ่ไปไกลทั่วโลก ถ้ามีโอกาสนักศึกษาน่าจะลองทำดู ปอยก็เลยร้อนวิชากลับบ้านมาไม่ถึงวัน ก็ให้กำเนิดบล็อก Oneleg-PoyMumJ.blogspot.com ขึ้นมาทันที

นี่แหละค่ะที่มาที่ไปของบล็อกนี้