02 เมษายน 2552

ตอนที่ 2 หลังนาทีชีวิต


หลังจากที่คนขับรถวางปอยลงบนเตียงฉุกเฉิน ปอยยังมีสติอยู่ แล้วปอยก็ยืนบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ไปเพื่อให้เขารู้ว่าปอยเป็นใคร การปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงเริ่มขึ้นพร้อมๆ กับความเจ็บปวดของบาดแผลที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้นมีเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถามขึ้นว่า คุณชื่อ พรพรหม ใช่ไหมครับ คำถามนี้ทำให้ปอยฉุนมากเลย เพราะปอยได้ยื่นหลักฐานแสดงตัวไปแล้ว จึงตะโกนไปด้วยความโกรธว่า"ก็เอาบัตรประชาชนให้แล้วไง ถามอยู่ได้" ตำรวจนายนั้นจึงเงียบไป และขณะใดนั้นเอง ปอยก็รู้สึกเจ็บที่ขามาก เพราะอะไรน่ะหรอ ก็คุณพยาบาลน่ะสิค่ะ เธอพยายามดึงกางเกงวอร์มของปอยออก โดยที่ขอบยางยืดของเอวกางเกงกระชากคราดแผล โทสะเริ่มทวีขึ้น และตะโกนบอกพยาบาลไปอีกว่า " ทำไมไม่เอากรรไกรตัดเล่า เจ็บจะตายอยู่แล้ว " พยาบาลก็ตกใจและรีบเอากรรไกรมาตัดขากางเกงปอยออกทันที
และรายการทวนทรัพย์สินจากพยาบาลอีกรายจึงเริ่มขึ้น "มีนาฬิกา 1 เรือน กับทอง 1 เส้นใช่ไหมค่ะ" ด้วยความมีสติอยู่บ้างจึงบอกไปว่า " มีเงินในกระเป๋ากางเกงอีก ซึ่งตอนนั้นจำได้แม่นว่ามีจำนวนเท่าใด"(แต่ตอนนี้ระลึกความทรงจำ ไม่อาจจำได้แล้ว)เงินเกือบสูญไปละ เพราะเงินที่มีนั้นมันไปอยู่ในถังขยะพร้อมกับกางเกงวอร์มที่ถูกตัดไปก่อนหน้านั่นนั้นเอง ย้อนทบทวนก็น่าเสียใจ และต้องขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคุณพยาบาลที่ปอยแสดงอาการไม่น่ารักออกไป เพราะเขาก็ทำตามหน้าที่ ปอยต้องกราบขอโทษจริงๆ นะคะ ปอยเองก็ได้แต่ระลึกถึงเสมอเท่านั้น แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันเป็นหน้าที่ และเราก็เจ็บแผลมากเลยพลั้งไปก็ตาม
หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปอยถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เมื่อไปถึง เจ้าหน้าที่เข้ามาแกะดูบาดแผล และเวลาต่อมาปอยถูกปฏิเสธการรักษา แม่ปอยอยู่ในสภาพที่ยังตื่นตระหนก อิดโรย และเหนื่อยอ่อนมาก แม่สวมชุดนอนและรองเท้าแตะที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เหตุผลที่โรงพยาบาลให้มาคือ เครื่องมือไม่พร้อม แม่ต้องพาออกมาจากโรงพยาบาลนั้น ไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด เข้าผ่าตัด กว่า 5 ชั่วโมง พักรักษาตัวอยู่ 2 วัน กับการทานยาแก้ปวดและล้างแผลไปวันๆ รอห้องผ่าตัด อาของปอยขึ้นมาจากกรุงเทพฯด้วยความเป็นห่วง แม่และอาตัดสินใจพาตัวปอยย้ายไปรักษาตัวที่เชียงใหม่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ระยะเวลาในการรักษาเกือบ 3 เดือน ด้วยอาการกระดูกขาขวาหัก เข้าเฝือกไป ร่วมเดือนผลเอ็กซเรย์ออกมากระดูกไม่ติดกันเพราะเก่ยกันอยู่จึงต้องผ่าตัดและดามเหล็กเย็บไป 14 เข็ม กล้ามเนื้อส่วนต้นขาถูกบดเละหายไปบางส่วนทำให้ขาซ้ายส่วนปลายใต้เข่าลงไปไม่สามารถควบคุมได้และเน่าตายในเวลาต่อมา .............. ประมาณว่า ขาตายไปก่อนตัวน่ะเอง (มันตายตั้งแต่อยู่ที่เชียงรายแล้วล่ะ)มาถึงเชียงใหม่ก็ต้องตัดสถานเดียว

มาถึงขั้นตอนการล้างแผลก็ล้างแผลสด ไม่มียาชาหรือตัวช่วยใดๆ มีแต่ใจที่ข่มไว้เท่านั้น ปอยใช้เทคนิคพิเศษ จะนำไปใช้บ้างก็ไม่ว่ากัน ปอยจะกัดฟันเอาไว้ มือจับเตียงให้แน่น และบอกว่าไม่เจ็บทนไหวในจังหวะที่น้ำยาเบต้าตีนราดลงไปที่แผล และช่วงเวลาเหล่านั้นก็ผ่านไป จนใครๆ ให้สมยานามปอยว่า "หญิงเหล็ก" ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม มีผิดคิวด้วยนะ แบบว่า เม้าส์กระจายทั้งผู้ช่วยทั้งคนไข้ต่างลืมตัว ผู้ช่วยก็ราดแผลอีตอนที่ปอยอ้าปากโม้อยู่พอดี เสียงกรี๊ดนี้ดังสนั่น มันเกิดอะไรขึ้น ผู้ช่วยและพยาบาลข้างนอกชะโงกหน้ามาดูที่กระจกตรงประตู
พอทำแผลเสร็จ ฮาจะตาย นั่งขำกะพี่บุรุษพยาบาล ว่าวันนี้ปอยออกคอนเสริ์ต กรี๊ดซะดังลั่น หลังจากร่างกายสร้างเนื้อเยื่อและรักษาตัวเองใกล้หายดี ทางโรงพยาบาล นำรูปโพราลอยด์มาให้ปอยดูถึงบางอ้อ รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงบอกว่าปอยเป็น"หญิงเหล็ก" ก็แผลมันลึกไปถึงชั้นกระดูกและเอ็นเลยแผลกว้างมาก น่าอัศจรรย์กับการเยียวยาของร่างกายมนุษย์ที่ถูกสร้างมาได้เจ๋งจริงๆ และได้รู้ถึงอิทธิพลของอำนาจจิตที่มีพลังยับยั้งความเจ็บปวดได้มากถึงเพียงนี้ (ปอยได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาให้ศึกษากันด้วยลองอ่านดูนะคะ)
อำนาจจิตข่มเจ็บปวด ฤทธิ์เท่ามอร์ฟีนอย่างแรง
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯกล่าวว่า มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันอย่างแข็งแรงว่า ใช้อำนาจจิตข่มดับความรู้สึกเจ็บปวดได้ มีอานุภาพไม่แพ้มอร์ฟีน ดับความรู้สึกเจ็บทรมาน และยังถ่วงสมองบางส่วนที่มีหน้าที่สั่งให้เกิดความเจ็บปวดเพลาลงด้วย
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวค ฟอร์เรสท์ กล่าวว่า พบในการศึกษาว่าแค่เพียงแต่นึกให้เจ็บปวดน้อยลง ก็ทำให้มันเกิดเป็นจริงได้
ดร.โรเบิร์ต คอกฮิลล์ กับคณะ รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “สมาคมวิทยาศาสตร์อเมริกา” กล่าวว่า จากการศึกษาทดลองกับอาสาสมัครที่มีรูปร่างแข็งแรงปกติ โดยใช้ของร้อนๆแตะที่ขา เพื่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ไม่ร้อนจนเป็นอันตราย พร้อมกับใช้เครื่องตรวจสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูง ตรวจดูปฏิกิริยาของสมองไปด้วย
ดร.คอกฮิลล์กล่าวว่า เมื่อใดที่พวกเขาคาดหวังว่า จะถูกของร้อนแต่น้อย ก็จะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดน้อยไปด้วย ความคาดหวังเช่นนี้ ช่วยให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงได้มากถึง 28% ฤทธิ์เท่ากับได้ฉีดมอร์ฟีนอันเป็นยาระงับปวดอย่างแรงทีเดียว ขณะเดียวกัน สมองซึ่งมีส่วนสำคัญในการรับความรู้สึกและอารมณ์ก็เพลาปฏิกิริยาลงไปด้วย
เขาชี้ว่า “ความรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้เกิดจากสัญญาณ ที่มาจากร่างกายส่วนตรงที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียวจึงไม่พอจะระงับความเจ็บปวดได้ เนื่องจากสมองสามารถจะสร้างความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาได้ และเราก็อยากจะหาทางใช้พลังนี้ให้เป็นประโยชน์ขึ้น”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่ 173978/9/2005

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น